หน้าหลัก เรื่องราวรอบตัว เทคนิคขับรถขึ้นเขา ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ พร้อมวิธีควมคุมรถให้ปลอดภัย

เทคนิคขับรถขึ้นเขา ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ พร้อมวิธีควมคุมรถให้ปลอดภัย

เทคนิคขับรถขึ้นเขา-ให้ปลอดภัยเทคนิคขับรถขึ้นเขา-ให้ปลอดภัย

ลมหนาวมาเมื่อไหร่ คนส่วนใหญ่เลือกขึ้นดอยรับอากาศเย็นสบาย แต่รู้หรือไม่ว่าการขับรถขึ้นเขาหากปราศจากความระมัดระวัง สามารถก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ซึ่งหากเป็นเรื่องพื้นฐานก็เชื่อว่าผู้ขับขี่หลายๆ ท่านคงจะทราบกันดี เช่น ระวังทางโค้ง ไม่ควรขับแซง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การขับรถขึ้นเขามีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจ ในบทความนี้ Sunday ก็มีวิธีขับรถขึ้นเขาขึ้นทางชัน รวมทั้งการขับรถลงเขาอย่างปลอดภัยมาแนะนำกัน แต่ขอเน้นไปที่ 3 ส่วนหลักๆ ซึ่งเป็นหัวใจของการควบคุมรถ คือ คันเร่ง เบรก และเกียร์ ทั้งเกียร์ออโต้ และเกียร์ธรรมดา ไปศึกษาพร้อมๆ กันดีกว่า


เทคนิคขับรถขึ้นเขา-ให้ปลอดภัย

เทคนิคขับรถขึ้นเขา 3 ส่วนหัวใจหลักควบคุมรถบนทางชัน

ขับรถขึ้นเขาต้องควบคุมคันเร่ง

เร่งเครื่องอย่างสม่ำเสมอ และเร่งอย่างพอดี ไม่กดคันเร่งเบาหรือแรงเกินไป เพื่อให้รถมีกำลังขึ้นเขาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในทางชันยาว ๆ ควรเร่งให้ต่อเนื่องไม่ขาดช่วง เพราะหากเร่งๆ หยุดๆ จะทำให้รถเสียกำลังและอาจไหลลงมาได้ ซึ่งอันตรายมาก

ขับรถขึ้นเขาต้องควบคุมคันเร่ง

ขับรถขึ้นเขาต้องควมคุมเบรก

เช็คระบบเบรกก่อนออกเดินทาง ว่าอยู่ในสภาพปกติเพราะเบรก คือ หัวใจสำคัญอันดับหนึ่งในการขับรถอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะขาลงเขาไม่ควรเหยียบแช่ยาว เพราะอาจทำให้เบรกไหม้

วิธีที่ถูกต้อง คือ แตะเบรกเป็นระยะ ในจังหวะที่จำเป็นเท่านั้น เผื่อระยะเบรกเพิ่มขึ้นในขาลง เพราะความลาดชันบวกกับน้ำหนักของตัวรถทำให้รถเบรกได้ช้าลง เช่น ปกติเราอาจเว้นระยะประมาณ 2 ช่วงคันรถระหว่างคันเรากับท้ายคันหน้า ก็ควรเพิ่มเป็น 3 ช่วงคันรถ หรือมากกว่าเพื่อให้แน่ใจว่าเบรกทัน หากเกิดเหตุการณ์ต้องเบรกกระทันหัน

ขับรถขึ้นเขาต้องควมคุมเบรก

ใช้เกียร์ให้เหมาะสมเมื่อขับรถขึ้นเขา

อย่างที่รู้กันว่าการขับรถขึ้นเขาต้องใช้เกียร์ต่ำอย่างเช่นเกียร์ 1 และเกียร์ 2 เพราะรถต้องการแรงบิดที่มากกว่าปกติในขาขึ้น และขาลงก็ต้องการแรงฉุดจากเกียร์ต่ำ อย่างเกียร์ 1 และเกียร์ 2 เช่นกัน ที่สำคัญคือห้ามปล่อยรถไหลลงเขาโดยใช้เกียร์ N หรือเกียร์ว่างเพราะเมื่อไม่มีแรงฉุดจากเครื่องยนต์จะทำให้เราต้องแตะเบรกอยู่ตลอดเวลาเพื่อความคุมความเร็วรถ ทำให้เสี่ยงต่อการทำให้เบรกไหม้และเกิดอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ นอกจากนั้นในบางครั้งอาจมีคนหรือสัตว์วิ่งตัดหน้ารถเราในเวลาที่ขับลงเขาได้เช่นกัน ดังนั้นทางที่ดีควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้กำลังเครื่องช่วยฉุดตัวรถ ปลอดภัยกว่าแน่นอน

ต่อไปเราจะขออธิบายแยกเพื่อให้เข้าใจโดยง่าย โดยแยกระหว่างการขับรถขึ้น-ลงเขาด้วยเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ ดังนี้

เกียร์ธรรมดา

เทคนิคขับรถขึ้นเขาด้วยเกียร์ธรรมดา

ขับรถขึ้นเขาด้วยเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์กระปุกนั้น ผู้ขับขี่จะต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตนเอง ตั้งแต่การเข้าเกียร์ เปลี่ยนเกียร์ หรือการถอนเท้าออกจากคลัตช์ โดยจะต้องมีความเหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ในตอนนั้นด้วย

ดังนั้นสำหรับการขับรถขึ้นเขาที่เป็นทางชัน ก็จะต้องใช้เกียร์ต่ำ เช่น เกียร์ 1 หรือ เกียร์ 2 เท่านั้น และหากรู้สึกว่ารถเริ่มแรงตกก็ให้ลดเกียร์ลงมา เช่น ขับมาเกียร์ 2 แล้วเจอทางชันมากกว่าเดิมก็ให้ลดมาที่เกียร์ 1 รถจะมีกำลังมากขึ้น

สำหรับผู้ขับรถมือใหม่ที่ไม่เคยขับรถขึ้นเขา ขับรถลงเขาเลย บางครั้งอาจจะคาดการณ์ไม่ถูกว่าจะต้องพบเจอกับทางที่มีความชันมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาขับรถให้คิดเสมอว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ขับรถขึ้นเขาแล้วเจอทางชัน ทำให้รถวิ่งช้าลงกว่าเดิม ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำ อย่างเช่นเกียร์ 2 หรือ เกียร์ 1 เพราะถ้าฝืนใช้เกียร์เดิมต่อไป หรือเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงกว่าเดิมก็จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลังมากพอในการพารถขึ้นเขาได้ เสี่ยงทำให้รถดับกลางทางและเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นการฝืนใช้เกียร์สูงในการขับรถขึ้นเขาหรือทางชัน ยังส่งผลให้ระบบเกียร์สึกหรอและพังเร็วกว่าเดิมอีกด้วย

เทคนิคขับรถลงเขาด้วยเกียร์ธรรมดา

หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าการขับรถลงเขาต้องใช้เกียร์อะไร ซึ่งทางเราก็บอกได้เลยว่าใช้เกียร์ต่ำอย่างเกียร์ 1 และเกียร์ 2 แบบเดียวกับตอนขับขึ้นเขาเลย เพียงแค่ใช้เกียร์ให้เหมาะกับความเร็วในการขับลงเขา หากทางชันมากให้ใช้เกียร์ 1 พร้อมกับคอยแตะเบรกสลับการปล่อยเบรก เพื่อรักษาความเร็วและรอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสม ไม่ให้รอบเครื่องสูงเกินไป

หากทางลงเขาเป็นลักษณะทางยาวๆ ที่สามารถใช้ความเร็วได้ในระดับนึง ก็สามารถใช้เกียร์ 2 หรือเกียร์ 3 ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ขับขี่รถยนต์ แต่ต้องพิจารณาโดยคำนึงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก โดยระวังไม่ให้รถไหลลงเขาเร็วเกินไปเพราะหากเกิดเหตุกระทันหันจะได้สามารถควบคุมรถได้ทันและไม่เสียการทรงตัว

Sunday Tips ทำอย่างไรเมื่อขับรถเกียร์ธรรมดาขึ้นเขาแล้วต้องหยุดระหว่างทาง?
 
ในขณะที่ขับรถขึ้นเขาหรือขึ้นดอยสูง แล้วมีความจำเป็นต้องหยุดรถแบบจอดสนิท การจะเริ่มออกตัวรถอีกครั้ง ให้ดึงเบรกมือแล้วเข้าเกียร์​ 1 หลังจากนั้นตอนที่เริ่มออกตัว ให้ปลดเบรกมือควบคู่กับการถอนเท้าออกจากคลัตช์และแตะคันเร่งพร้อมกันกัน เป็นการช่วยให้รถไม่ไหลเวลาออกตัวบนทางชัน
ใช้เกียร์ให้เหมาะสมเมื่อขับรถขึ้นเขา

เกียร์ออโต้

เทคนิคขับรถขึ้นเขาด้วยเกียร์ออโต้

สำหรับเกียร์ออโต้ ซึ่งเป็นระบบเกียร์ที่ถูกออกแบบมาให้ผู้ขับขี่ขับรถได้สะดวกสบายมากขึ้น ทำให้การขับรถบนถนนทางเรียบ หรือถนนหลวง ก็สามารถใช้เกียร์ D ได้เลย แต่สำหรับการขับรถเกียร์ออโต้ขึ้นเขานั้นไม่สามารถใช้แต่เกียร์ D ได้

ในรถเกียร์ออโต้จะมีเกียร์สำหรับขึ้นทางชัน ซึ่งเป็นการบังคับให้รถขับเคลื่อนด้วยเกียร์ต่ำ ดังนี้

  • เกียร์ D3 เกียร์นี้จะจำกัดรอบวิ่งของเราให้อยู่แค่เกียร์ 1-3 (เมื่อเทียบกับเกียร์ธรรมดา) เพื่อป้องกันไม่ให้เกียร์เปลี่ยนกลับไปกลับมาบ่อยๆ ระหว่างเกียร์ 3 และเกียร์ 4 ทำให้รถมีรอบวิ่งต่ำลง แต่แรงม้าเท่าเดิม หากเราใช้เกียร์สูง รอบวิ่งจะสูงขึ้น แต่แรงม้าจะต่ำลง ดังนั้นการใช้เกียร์ D3 จึงเหมาะกับการขับรถขึ้น-ลงเนินเขา
  • เกียร์ D2 หรือ 2 เกียร์นี้จะทำให้รถยนต์วิ่งอยู่ที่เกียร์ D2 เท่านั้นตั้งแต่ออกตัวเพื่อลดอาการล้อบิด หรือ ออกตัวด้วยความเร็ว ทำให้ไม่เกิดการล้อฟรีเหมาะกับการวิ่งบนพื้นผิวที่ลื่น และเสี่ยงต่อการล้อฟรี เช่น หล่มโคลน
  • เกียร์ D1 หรือ L เกียร์นี้จะวิ่งด้วยเกียร์ 1 เท่านั้น เหมาะสำหรับจังหวะที่ต้องใช้ความเร็วต่ำมาก และต้องใช้เบรกบ่อย เช่น การลงจากเนินเขาที่มีความชันมากๆ หรือการไต่เนินเขาสูงๆ อย่างไรก็ตามหากใช้เกียร์ต่ำไม่ถูก เครื่องยนต์อาจจะทำงานด้วยรอบสูงเกินไป ซึ่งนอกจากจะทำร้ายสภาพเครื่องยนต์แล้วหากโชคร้ายอาจจะทำให้เครื่องดับ เกิดอุบัติเหตุได้ ที่สำคัญ อย่าใช้เกียร์ว่างในขณะลงเนินชันหรือลงเขาโดยเด็ดขาด! เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูง โดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์
  • เกียร์ S สำหรับรถยนต์บางรุ่นจะมีเกียร์ S หรือ เกียร์ Sport มาด้วย ซึ่งจะเป็นการสั่งงานให้ระบบเกียร์และคันเร่งตอบสนองไวขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการสั่งงานให้ระบบเกียร์ทำการเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นกว่าปกติ เป็นการลากรอบเครื่องยนต์สูงๆ ไว้เพื่อให้มีกำลังแรงม้าและแรงบิด เตรียมพร้อมสำหรับการเร่งทะยานไปต่อ ซึ่งในรถยนต์บางรุ่นนั้นก็ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้เกียร์ S ขึ้นเขา แทนเกียร์ต่ำอย่าง D2 หรือ L โดยเมื่อผู้ขับขี่ใช้เกียร์ S ขึ้นเขาหรือลงเขาที่มีทางชันมากๆ ระบบเกียร์จะปรับตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสม เพื่อให้เครื่องยนต์มีสถานะพร้อมเร่งขึ้นเนินไปต่อ และเมื่อลงเนินก็จะปรับเกียร์ลงอย่างเหมาะสม เพื่อฉุดตัวรถและชะลอความเร็วลงได้เป็นอย่างดี
  • เกียร์ M หรือ Manual รถยนต์เกียร์ออโต้บางรุ่นก็จะมีเกียร์ M มากับรถด้วย ผู้ขับขี่สามารถปรับตำแน่งเกียร์ได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องทำการเหยียบคลัตช์เพื่อเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งในขณะขับรถขึ้นเขา หรือขับรถลงเขาก็สามารถ ปรับตำแหน่งเกียร์ได้ตามความเหมาะสม หลักการเดียวกันกับรถเกียร์ธรรมดา หากขับรถขึ้นหรือลงทางชันมากๆ ก็ให้ใช้เกียร์ต่ำอย่างเกียร์ M1 และ M2
  • เกียร์ B อีกเกียร์ที่ไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยกัน สำหรับผู้ขับขี่บางท่านที่ใช้รถยนต์เกียร์ออโต้ที่มีเกียร์ B อาจจะสงสัยว่า เกียร์ B ใช้ตอนไหนถึงจะเหมาะ? เกียร์ที่ว่านี่คือเกียร์ Brake ซึ่งในความหมายก็คือเอาไว้ใช้เบรก หรือเพื่อลดความเร็วรถลงนั่นเอง ทำหน้าที่เหมือนกับเกียร์ D1 หรือเกียร์ L เลย แต่จะเหมาะกับการใช้ตอนขับลงเขามากกว่าขับขึ้น

เทคนิคขับรถลงเขาด้วยเกียร์ออโต้

การขับรถลงเขาด้วยเกียร์ออโต้นั้น สามารถใช้หลักการเดียวกับการขับรถลงเขาด้วยเกียร์ธรรมดาเลย คือ ห้ามใช้เกียร์ N หรือเกียร์ว่าง เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีกำลังฉุดจากเครื่องยนต์ เสี่ยงต่อการเสียการควบคุมรถ และเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งวิธีการขับรถลงเขาด้วยเกียร์ออโต้ที่ถูกต้อง คือใช้เกียร์ต่ำอย่าง D1 หรือ D2 หรือ เกียร์อื่นๆ ที่มีติดมากับตัวรถ และมีความเหมาะสมตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เพื่อช่วยให้รถมีความเสถียรในการลงเขา โดยมีแรงฉุดหน่วงๆ ทำให้ขับรถลงเขาได้อย่างปลอดภัย และที่สำคัญก็คืออย่าลืมเหยียบเบรกสลับปล่อยเบรกเป็นระยะ ตามความเหมาะสม เพื่อคอยควบคุมไม่ให้รอบเครื่องยนต์ขึ้นสูงเกินไป รวมทั้งไม่เหยียบคันเร่งยาวๆ เมื่อลงเนิน


เมื่อเข้าใจวิธีการใช้รถให้ถูกวิธีอย่างถ่องแท้ คุณก็พร้อมออกทริปบุกดอยแล้ว แต่ถ้าให้ชัวร์ยิ่งกว่า เช็คให้ดีว่าประกันที่ใช้อยู่ ไม่ว่าประกันรถยนต์หรือประกันอุบัติเหตุ ว่าครอบคลุมทริปนี้แค่ไหน หากต้องการหาประกันที่ให้คุณปรับเปลี่ยนความคุ้มครองได้ เคลมสะดวกผ่านแอป แถมบริการรับรถไปซ่อมฟรี การันตีซ่อมเสร็จใน 7 วันละก็ เราขอแนะนำประกัน Sunday ประกันแนวคิดใหม่ ที่พร้อมคุ้มครองให้คุณเดินทางสู่ทุกจุดหมายอย่างไร้กังวล ทั้งประกันรถยนต์ และประกันรถยนต์ไฟฟ้า 

สำหรับประกันอื่นๆ คลิกที่นี่ ซื้อประกันออนไลน์


ทำไมประกันรถยนต์จากซันเดย์จึงแตกต่าง

  • ราคาเบี้ยประกันที่ถูกลง
    • อันเป็นผลจากเทคโนโลยีประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงด้วย Artificial Intelligence (AI) ทำให้เราประเมินความเสี่ยงของคุณได้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด คุณจึงไม่ต้องจ่ายประกันราคาแพงโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ คุณยังปรับเปลี่ยนความคุ้มครองเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีประกันเจ้าใดให้คุณทำมาก่อน
  • เคลมออนไลน์ เคลมเร็ว
    • เราผนวกแพล็ตฟอร์มดิจิทัลหลากหลาย จะเรียกเคลม แจ้งอุบัติเหตุ เช็คสถานะการเคลม จองคิวรับรถ เช็คสถานะการซ่อม ต่อกรมธรรม์ ทั้งหมดทำได้ง่ายๆ ผ่านมือถือด้วยซูเปอร์แอปฯ Jolly by Sunday (Apple Store และ Google Play Store)
  • บริการรับส่งรถถึงที่ ส่งฟรีถึงบ้าน การันตีซ่อมเสร็จใน 7 วัน
    • พร้อมรับประกันอะไหล่ซ่อม 1 ปี

Share this article
Shareable URL
Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

เปิด 5 ประเทศปลูกชามากที่สุดในโลก ใช่ประเทศที่คิดไหม?

เจาะลึกประเภทชาจากประเทศที่ปลูกชาได้มากที่สุดในโลก ชาร้อน ๆ สักแก้ว หรือจะเป็นชาเขียวเย็น ๆ สักขวดระหว่างวัน…
top-5-tea-producing-countries-in-the-world

ชอบชาเขียวต้องอ่าน! ประโยชน์ของชาเขียว และการดื่มที่ถูกต้อง

รู้จักกับประวัติชาเขียว เครื่องดื่มสุดฮิตที่หลายคนหลงรัก ชาเขียวหรือ Ryokucha ( 緑茶 )…
green-tea-benefits-and-how-to-drink-correctly

อัปเดต 2024! ซื้อประกันลดหย่อนภาษีได้ไหม ลดหย่อนได้เท่าไหร่?

ซื้อประกันลดหย่อนภาษีได้ไหม ประกันประเภทไหนลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่บ้าง? การซื้อประกันที่เหมาะสม…
insurance-and-tax-deduction

Soft Power แบบไทยด้วย 5Fs สร้างชื่อไกลไประดับโลก!

Soft Power คืออะไร ในไทยมีอะไรบ้าง? การขายของในยุคปัจจุบันนี้ จะมาขายกันโต้ง ๆ ก็ทำให้ลูกค้าหนีหายกันหมด…
Soft Power
0
Share