จากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ผ่านมา เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ก็น่าจะทราบกันดีว่า สุขภาพของพนักงานในองค์กรคือสิ่งสำคัญที่ส่งผลมากต่อการทำงาน ยิ่งในช่วงเดือนพฤษภาคมก็จะเริ่มเข้าสู่หน้าฝนที่มักมาพร้อมกับ “โรคไข้เลือดออก” ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของพนักงานในองค์กรได้อย่างรุนแรง โดยหากลองดูสถิติสถานการณ์โรคไข้เลือดออกของกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กระทรวงสาธารณสุข ในช่วงเดือนตุลาคม 2562 ในปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นกว่า 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเลยทีเดียว
ธุรกิจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ไหนมีความเสี่ยงไข้เลือดออกระบาด และต้องระวังเป็นพิเศษบ้าง?
หากวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานพยากรณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2562 จะพบว่าหนึ่งในเขตพื้นที่สำคัญที่เราควรป้องกันความเสี่ยงไข้เลือดออกนั่นก็คือ “พื้นที่เขต 6” ซึ่งจะหมายถึง จังหวัดจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด ปราจีนบุรี ระยอง สมุทรปราการ และสระแก้ว เนื่องจากพื้นที่ในกลุ่มจังหวัดนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทและเขตนิคมอุตสาหกรรมมากมายซึ่งมีคนทำงานอาศัยอยู่กันหนาแน่น โดยเฉพาะจังหวัดระยองซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด(ระยอง) และ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอระยอง 36 จึงได้มีการพยากรณ์เอาไว่ว่าอาจจะมีจำนวนความเสี่ยงของผู้เป็นไข้เลือดออกมากกว่า 1,500 ราย
นอกจากจังหวัดระยองแล้ว อีกหนึ่งพื้นที่ความเสี่ยงก็คือจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) โดยได้มีการพยากรณ์เอาไว้ว่าจำนวนความเสี่ยงของผู้เป็นไข้เลือดออกในพื้นที่นี้จะอยู่ที่ประมาณ 830 ราย เรียกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
สรุปคือ แม้จะเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ข้อมูลนี้ก็บอกให้เราทราบว่า โรคไข้เลือดออกนั้นสามารถส่งผลกระทบทั้งในระดับของสุขภาพส่วนบุคคล ไปจนถึงภาพใหญ่อย่างการทำงานของภาคธุรกิจได้ไม่น้อย และถึงจะเป็นโรคที่รักษาได้ แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการพื้นตัวไม่น้อยกว่า 5-7 วัน เจ้าของธุรกิจจึงจำเป็นต้องพร้อมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการป้องกันความเสี่ยง มาตรการรับมือในการแก้ปัญหาด้านกำลังการผลิตที่อาจลดลงจากพนักงานที่ป่วย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพแบบกลุ่มสำหรับพนักงาน ที่หากเจ้าของธุรกิจสามารถจัดสรรสวัสดิการดังกล่าวได้พร้อม นอกจากจะควบคุมค่าใช้จ่ายได้รัดกุมแล้ว ยังเป็นการซื้อใจพนักงานซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อีกวิธีหนึ่ง
ไข้เลือดออกร้ายแรงต่อสุขภาพของพนักงานยังไง? ทำไมเราต้องใส่ใจระวัง
โรคไข้เลือดออกเกิดจากไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) โดยมี “ยุงลาย” ซึ่งเป็นยุงตัวเล็ก สีดำ มีลายสีขาวที่ขา ท้อง และลำตัว ยุงลายชอบอยู่ตามมุมมืดในบ้าน ชอบออกหากินตอนกลางวันต่างจากยุงชนิดอื่นที่ออกหากินเวลาค่ำ คนที่ได้รับเชื้อไวรัสจากยุงลาย และเป็นโรคไข้เลือดออกจะมีอาการดังนี้
- มีไข้สูงเกิน 38.5 องศา ไปจนถึง 40-41 องศาต่อเนื่องกัน 2-7 วัน
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- หน้าแดง อาจจะพบจ้ำเลือด หรือจุดเลือดสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง หรือมีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน
- ปวดท้องรุนแรง กดเจ็บชายโครงด้านขวา
- คนที่อาการรุนแรงมาก หลังจากมีไข้มาหลายวันแล้วอาจเกิดภาวะช็อกเนื่องจากการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว (Dengue shock syndrome) และอาจถึงแก่ชีวิตได้
สำหรับคนที่ไม่เกิดอาการช็อกหลังจากมีไข้สูง 2-7 วัน จะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ไข้เริ่มลด ระบบไหลเวียนเลือดก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อทิ้งระยะไปอีกประมาณ 2-3 วันจึงเข้าสู่ระยะหายเป็นปกติ
พนักงานต้องรู้ ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะรักษาตัวอย่างไร? เตรียมค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่?
ทุกวันนี้โรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัส จึงจำเป็นต้องใช้วิธีรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองให้ร่างกายผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว แน่นอนว่าเมื่อได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว แพทย์มักจะให้แอดมิดเข้าเป็นผู้ป่วยในเพื่อคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ดังนั้น ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่จะเป็นค่าห้อง ค่าอาหาร และการพยาบาล รองลงมาก็จะเป็นค่าดูแลโดยแพทย์ และค่าเวชภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปตามเรตของโรงพยาบาล หากเป็นโรงพยาบาลเอกชนโดนทั่วไป เรตราคาค่าห้องพักแบบเดี่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 10,000 บาทต่อคืน (ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ) เมื่อคูณจำนวนวันที่ต้องเข้าพักรักษาตัวเข้าไป จะเห็นว่าการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจำเป็นต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวจำนวนไม่น้อยเลย
แล้วภาคธุรกิจจะป้องกันพนักงานจากโรคไข้เลือดออกยังไง? ใช้วิธีไหนเพื่อลดความเสี่ยงให้บุคลากร?
หนึ่งในวิธีป้องกันตัวจากไข้เลือดออกที่ง่ายที่สุดสำหรับภาคธุรกิจนั่นก็คือการกำจัด “ยุงลาย” ให้หมดไปจากสถานที่ทำงาน เพราะยุงชนิดนี้จะมีแหล่งเพาะพันธุ์เป็นน้ำที่ขังอยู่ตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในโรงงาน ในออฟฟิศ ในห้องครัว ฯลฯ จึงจำเป็นต้องกำจังแหล่งน้ำขัง หรือใช้วิธีใส่เกลือและน้ำส้มสายชูลงในภาชนะที่มีน้ำเพื่อกำจัดตัวอ่อนของยุงอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจที่ควรให้ความสำคัญ นั่นคือการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาของบุคคลากร โดยเฉพาะการเลือก “ประกันสุขภาพแบบกลุ่ม” ถือเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น บริษัทหรือเจ้าของกิจการก็ไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง รวมถึงสามารถควบคุมและวางแผนรายจ่ายด้านสวัสดิการพนักงานได้ง่าย นอกจากนั้นการเลือกทำประกันกลุ่มยังสามารถนำไปหักเป็นรายจ่ายของกิจการซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ได้คุ้มค่า และที่สำคัญประกันสุขภาพกลุ่มที่ครอบคลุมจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
การป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาด ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกิจการที่จำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถของบุคลากร หากคุณปกป้องพวกเขาอย่างใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานในฝ่ายใดก็จะสามารถดึงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มที่แน่นอน