จำแล้วนำไปใช้ เอาตัวรอดอย่างไรถ้ามีความ Toxic ในที่ทำงาน
เจอความ Toxic ในที่ทำงานในช่วงไหนของชีวิต ก็เอาตัวรอดได้ยากทั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวิธีเอาตัวรอดจากความ Toxic เหล่านี้นะทุกคน บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกับความ Toxic ในที่ทำงานว่าคืออะไร สังเกตอย่างไร และต้องทำอย่างไรให้ตัวเองอยู่ได้อย่างสบายใจ จัดการกับความ Toxic ได้แบบมือโปร
สัญญาณความ Toxic ในที่ทำงานมีอะไรบ้าง?
จุดเริ่มต้นของการเอาตัวรอดจากออฟฟิศที่มีความ Toxic คือจะต้องรู้ตัวก่อนว่าเรากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่โอเค แล้วค่อยหาทางเอาตัวรอดกันต่อไป และนี่คือข้อสังเกตที่ทำงาน Toxic แบบง่าย ๆ ที่ซันเดย์รวบรวมมาไว้ให้
- อะไร ๆ ก็ดูแปลก ๆ ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในการทำงานที่มีการนินทาว่าร้ายกันให้เห็นบ่อย ๆ
- คุยงานกันแบบไม่มีประสิทธิภาพ โดยอาจจะสังเกตได้จากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ ในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน
- มีการแข่งขันที่สูงเกินไป บางทีก็ค่อนไปทางชิงดีชิงเด่น เหมือนทุกคนต้องการเป็นที่หนึ่ง เป็นลูกคนโปรดตลอด บางทีก็มีการแกล้งกันให้อีกฝ่ายเสียงาน
- ทำงานกันแบบจุกจิก ตามงานกันทั้งวัน ถามกันตลอดว่าทำถึงไหนแล้ว ทำเสร็จหรือยัง ทำแบบที่หัวหน้าต้องการเป๊ะ ๆ หรือเปล่า ซึ่งนี่คือการ “Micromanaging” ทำให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้จำกัด แถมยังต้องเครียดด้วยว่าจะทำถูกใจคนตรวจไหม
- คนลาออก รับคนเข้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสังเกตได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เข้าไปทำงาน หรือก่อนเข้าทำงานด้วยซ้ำ ตอนสัมภาษณ์อาจจะถามว่าทำไมตำแหน่งนี้ถึงยังว่างอยู่ก็ได้นะ
- เลิกงานแล้วก็ยังตามงานกันไม่หยุด ถ้าเป็นแบบนี้ก็รู้เอาไว้เลยว่าคุณกำลังพบเจอกับความ Toxic ในที่ทำงานแล้วล่ะ
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นคือเจ้านาย Toxic และเพื่อนร่วมงาน Toxic ชนิดที่ว่าปวดหัวกันทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่า Sunday มีวิธีจัดการมาให้ในหัวข้อต่อไป
เอาตัวรอดจากเจ้านาย Toxic ได้อย่างไรบ้าง?
ขึ้นชื่อว่าหัวหน้า จะออกความเห็นต่างจากเขาทีไร ก็ขนลุกเสียวหลังทุกที หากคุณรู้สึกแบบนี้อยู่บ่อย ๆ นั่นคือหนึ่งในสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังเจอกับหัวหน้าตัวร้ายเข้าแล้ว หรืออาจจะสังเกตได้จากการพูดจาที่ไม่ดี ไม่มีมารยาท ไม่มีความเป็นมืออาชีพ แต่เราตั้งรับได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- ทำตัวเป็นมืออาชีพเข้าไว้ อย่าใช้อารมณ์ในการโต้ตอบกับเขา ให้ใช้เหตุผลและข้อเท็จจริงมาพูดคุย
- เก็บทุกอย่างให้เป็นลายลักษณ์อักษร อย่ารับปากทำงานด้วยปากเปล่า ควรให้เขาส่งข้อความหรืออีเมลมา ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
- ทำงานให้ดีที่สุด มั่นใจในงานของตัวเอง มีข้อมูลสนับสนุนทุกอย่าง
- ตั้งขอบเขตของตัวเองเอาไว้ ว่าถ้ามีการกระทำแบบใดเกิดขึ้นแล้วเราจะไม่ทนอีกต่อไป ถ้าหัวหน้าข้ามเส้น ก็บอกเขาไปตรง ๆ ว่าเราไม่สบายใจกับสิ่งที่เขาทำ
- เรียนรู้ที่จะปฏิเสธบ้าง การที่ยอมรับทุกอย่างโดยไม่มีเหตุผล หรือเพียงเพราะเขาคือหัวหน้า จะทำให้เรามีงานจนล้นมือแล้วก็ทำงานออกมาได้ไม่ดี
ถ้าทำสิ่งเหล่านี้แล้วพบว่าหัวหน้ายังทำตัว Toxic แบบเดิม อาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพูดคุยกับฝ่ายบุคคล เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ ถ้าสุดท้ายแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ซันเดย์แนะนำว่าให้หางานใหม่แล้วลาออกได้เลย!
เจอเพื่อนร่วมงาน Toxic จะรับมืออย่างไรดี?
บางคนอาจจะเจอกับเจ้านาย Toxic แล้วยังไม่พอ ยังจะเจอเพื่อนร่วมงานที่เกินทนอีก ถึงแม้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะหนักหนาสาหัส แต่หากทำตามคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ก็น่าจะพอช่วยแบ่งเบาได้บ้าง
- ทำตัวเป็นมืออาชีพ โดยไม่ใช้อารมณ์ในการสื่อสาร เหมือนกับการรับมือกับเจ้านาย Toxic เลย
- พยายามคุยแต่เรื่องงาน ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องพยายามผูกมิตรกับคนที่มีความ Toxic อย่าลืมว่าเรามาทำงาน ไม่ได้มาพาเพื่อน!
- เรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้คน เพราะทุกคนไม่เหมือนกัน และเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นให้ลองทำความเข้าใจดูว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แล้วก็อย่าเก็บมาใส่ใจมาก บางทีคนเราก็นิสัยแบบนั้นและเปลี่ยนไม่ได้
- ถ้าเกินเยียวยา ต้องเก็บหลักฐานเพื่อแจ้งฝ่ายบุคคล เรื่องพวกนี้บางทีเราจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องให้ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่มาช่วยจัดการ
- รู้ว่าตอนไหนต้องสู้ ตอนไหนต้องปล่อย เพราะเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรไปเถียงกับเพื่อนร่วมงานที่มีความ Toxic บางทีเงียบ ๆ เอาไว้แล้วก็ทำงานของเราให้ดีที่สุดก็พอ
ดูแลสุขภาพจิตให้ดีคือสิ่งสำคัญที่สุด
หากทำทุกอย่างแล้วพบว่าการทำงานในออฟฟิศแห่งนี้ช่างหนักหนาเหลือเกิน ซันเดย์แนะนำว่าให้มองหางานใหม่ ๆ ในบริษัทที่ดูมีบรรยากาศในการทำงานที่น่าสนใจ มีการบริหารจัดการที่ดี มีลูกจ้างที่ทำงานมานาน แล้วลองสมัครดู เพราะการทำงานไม่ควรเป็นสิ่งที่ยุ่งยากจนทำให้เราหมดพลังใจในการใช้ชีวิต ความ Toxic ของที่ทำงานและคนรอบตัว บางครั้งก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนที่ที่เราอยู่ได้นะ
นอกจากสุขภาพจิตแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เพื่อชีวิตที่มีความสุขแบบเต็มหลอด แล้วก็อย่าลืมมองหาตัวช่วยบริหารความเสี่ยงด้านการเงินอย่างประกันสุขภาพที่ดูแลค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยไว้ด้วยนะ ถ้าต้องรักษาตัวขึ้นมา จะได้ไม่เครียดกับค่ารักษา