หน้าหลัก สาระรถยนต์ไฟฟ้า ที่เดียวครบ! ทุกเรื่องที่ต้องเข้าใจก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่

ที่เดียวครบ! ทุกเรื่องที่ต้องเข้าใจก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่

สรุปชัด-ทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

การตัดสินใจ ซื้อรถยนต์ใหม่สักคัน นอกจากจะต้องวางแผน การเงินรองรับการซื้อรถยนต์ การผ่อนชำระ การเติมน้ำมัน ไปจนถึง การบำรุงรักษาในช่วงเวลาต่าง ๆ แล้ว ว่าที่เจ้าของรถยนต์ทุกคนยังต้องศึกษารายละเอียดเฉพาะของรถยนต์แต่ละรุ่น เพื่อทำความเข้าใจข้อดีและข้อจำกัดของรถยนต์ ตลอดจนพิจารณาถึง ความเหมาะสมในการใช้งานและการใช้ชีวิตทุกด้าน


สำหรับใครที่กำลังสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มต้นพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ของรถยนต์ไฟฟ้า ได้อย่างไร ลองมาปักหมุดทำความเข้าใจและเริ่มพิจารณาการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Step by Step ในบทความนี้กัน!

ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต้องดูอะไรบ้าง

ทำความรู้จักรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น

ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าคันใหม่ ว่าที่เจ้าของรถยนต์ทุกคนควรทำความเข้าใจก่อนว่า รถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร มีส่วนประกอบใดบ้าง และมีความแตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงอย่างไร


รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘รถ EV’ เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งจะแตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป


ระบบและส่วนประกอบพื้นฐานของรถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นจากแต่ละแบรนด์จะมีส่วนประกอบและหลักการทำงานที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะมีหลักการทำงานพื้นฐานที่อาศัย 5 ส่วนประกอบหลัก ดังนี้

  1. พอร์ตชาร์จ
  2. มอเตอร์ไฟฟ้า
  3. อุปกรณ์แปลงไฟฟ้า
  4. อุปกรณ์ควบคุมกำลังไฟฟ้า
  5. แบตเตอรี่

โดยระบบการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มต้นจากการชาร์จกระแสไฟฟ้าตรงเข้าสู่ตัวแบตเตอรี่ผ่านพอร์ตชาร์จคล้ายกับการเติมน้ำมันของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จากนั้นเมื่อมีการใช้งานรถยนต์เกิดขึ้น อุปกรณ์แปลงไฟฟ้าจะนำกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่เป็นกระแสไฟฟ้าตรงมาแปลงให้เป็นกระแสไฟฟ้าสลับ 

สุดท้าย กระแสไฟฟ้าที่แปลงเสร็จเรียบร้อยจะถูกส่งต่อตามกำลังไฟที่กำหนดไว้ในอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้าเข้าสู่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ภายในรถยนต์ ตลอดจนส่งกระแสไฟฟ้าเข้าสู่มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้


อย่างไรก็ดี ในขณะที่รถยนต์เบรก มอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นยังมีการติดตั้งระบบ Regenerative Braking System ที่สามารถแปลงพลังงานในมอเตอร์ให้กลับไปเป็นพลังงานไฟฟ้า จากนั้นส่งคืนกลับไปที่ตัวแบตเตอรี่ได้ ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้นอีกด้วย

ประเภทของรถยนต์ที่ต้องรู้

4 ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากจะทำความรู้จักส่วนประกอบและระบบการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ว่าที่เจ้าของรถยนต์ยังควรทำความรู้จักประเภทของรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน โดยในปัจจุบันนี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะมีด้วยกัน 4 ประเภทหลัก ประกอบไปด้วย

1. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ 

รถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ หรือ Battery Electric Vehicle – BEV เป็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ใช้พลังงานไฟฟ้าจากการชาร์จแบตเตอรี่อย่างเดียว ถือเป็นรถยนต์พลังงานสะอาดที่ก่อให้เกิดมลพิษกับโลกน้อยที่สุด

ตัวอย่างรถยนต์:

  • Tesla ทั้งหมด
  • BYD E6
  • Hyundai IONIQ EV
  • BMW i3
  • Audi e-tron

2. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด 

รถยนต์ไฮบริด หรือ Hybrid Electric Vehicle – HEV เป็นรถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้จากทั้งเครื่องยนต์ที่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและมอเตอร์ไฟฟ้า แม้จะไม่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าได้ แต่รถยนต์ไฮบริดจะสามารถนำพลังงานกลที่เหลือภายในรถยนต์ไปเก็บเป็นพลังงานไฟฟ้าที่แบตเตอรี่และนำกลับมาใช้ในอนาคต ทำให้สามารถช่วยประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงได้

ตัวอย่างรถยนต์ : 

  • Toyota Corolla Cross 1.8 HEV
  • Honda City 2023 e:HEV
  • Honda CR-V e:HEV
  • Nissan X-trail Hybrid

3. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน 

รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle – PHEV เป็นรถยนต์ไฮบริดที่พัฒนามาให้สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้าเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ได้ ทำให้ใช้งานได้ในระยะทางที่ไกลว่ารถยนต์ไฮบริดธรรมดา 

ตัวอย่างรถยนต์ : 

  • Haval H6 Plug-In Hybrid
  • MG HS PHEV 2022
  • Toyota Prius 2.0 Dynamic Force Plug-in Hybrid
  • BMW XM PHEV 

4. รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง 

รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง หรือ รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน (Fuel Cell Electric Vehicle – FCEV) เป็นรถยนต์ที่มีการติดตั้งเซลล์เชื้อเพลิงที่สามารถเปลี่ยนแก๊สไฮโดรเจนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยเจ้าของรถยนต์ประเภทนี้จะต้องเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ 

ตัวอย่างรถยนต์ :

  • Toyota MIRAI FCV THE NEXT GENERATION

ถึงแม้จะเติมได้อย่างรวดเร็วกว่ารถยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ แต่รถยนต์พลังไฮโดรเจนก็ยังคงมีข้อจำกัดในเรื่องของจุดเติมไฮโดรเจน ตลอดจนการพัฒนาความเสถียรในการใช้งาน แต่ด้วยความที่ไฮโดรเจนเป็นพลังงานที่สะอาดมาก ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจนวิ่งบนท้องถนนก็เป็นได้


ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างไร ลองมาเริ่มต้นพิจารณาข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าในส่วนนี้กัน


หากเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายในด้านการเติมพลังงานเข้าสู่ตัวรถยนต์ที่น้อยกว่า โดยการชาร์จไฟฟ้าตามแท่นชาร์จรถยนต์จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4.5 – 9 บาท/หน่วย ในขณะที่การชาร์จไฟฟ้ากับตัวบ้านจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 2.xx บาท/หน่วย ทั้งยังมีอัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6 – 1 บาท/กิโลเมตร ซึ่งถือว่าช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ลงไปได้มากเลยทีเดียว

Sunday Tips! เคล็ดลับการคำนวณค่าไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 

1. ตรวจสอบดูก่อนว่า 
– รถยนต์ของเราสามารถชาร์จไฟฟ้าสูงสุดได้เท่าไหร่
– แบตเตอรี่มีความจุเท่าไหร่ 
– ระยะทางการขับขี่สูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่
– ราคาค่าไฟฟ้าบ้านในปัจจุบัน

2. แทนค่าตัวแปรและนำมาคำนวณ ลองคำนวณไปพร้อมกันตามตัวอย่าง ดังนี้ 

กำหนดค่าตัวแปร:
– รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จได้สูงสุด 10 kWh
– แบตเตอรี่จุได้ 80 kWh
– มีระยะทางการขับขี่อยู่ที่ 400 กิโลเมตร 
– เน้นการชาร์จไฟฟ้าที่บ้านโดยใช้ไฟฟ้าทางการไฟฟ้านครหลวง มิเตอร์ 15 แอมป์ มีค่าไฟหน่วยละ 4.5 บาท 

โดยทั่วไปแล้ว ไฟฟ้า 1 หน่วยจะเท่ากับ 1 kWh ดังนั้น การชาร์จไฟฟ้า 1 kWh จะเท่ากับราคาค่าไฟฟ้า หรือเท่ากับ 4.5 บาท หากรถยนต์ไฟฟ้ามีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 80 kWh จะมีการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 80 หน่วย ดังนั้น ค่าไฟฟ้าในกรณีชาร์จรถยนต์เต็ม 100% จะอยู่ที่ 80 x 4.5 = 360 บาท 

จากตัวอย่าง หากแบตเตอรี่ของรถยนต์มีความจุอยู่ที่ 80 kWh และสามารถชาร์จได้ 10 kWh เท่ากับว่า ถ้าต้องการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ให้เต็ม 100% จะใช้เวลาอยู่ที่ 8 ชั่วโมง

แต่หากเป็นการชาร์จไฟฟ้าตามจุดให้บริการจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามค่าบริการและการกำหนดราคาของผู้ให้บริการ ขอแนะนำให้ตรวจสอบค่าบริการของผู้ให้บริการแต่ละแห่งให้ดีก่อนตัดสินใจใช้บริการ

ไม่เพียงเท่านั้น แม้จะมีเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบและเบากว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แต่รถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มักจะมีอัตราเร่งและการออกตัวที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉลี่ยแล้ว การเร่งความเร็วที่ 0 – 100 km/hr จะมีความเร็วไม่เกิน 10 วินาที ซึ่งถือเป็นการอัตราเร่งที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั่วไปเลยทีเดียว

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังขับเคลื่อนด้วยอุปกรณ์น้อยชิ้น ทั้งยังมีจำนวนอะไหล่ที่น้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ทำให้สามารถซ่อมบำรุงได้อย่างสะดวกมาก ที่สำคัญ รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนจะเป็นมลภาวะที่น้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ทำให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากจะพิจารณาถึงข้อดีแล้ว ว่าที่เจ้าของรถยนต์ยังควรพิจารณาถึงข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน

โดยส่วนใหญ่แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบรนด์จะมีความเสถียร ข้อจำกัดในการใช้งาน ตลอดจนระยะทางที่สามารถวิ่งได้แตกต่างกัน ทั้งยังมีศูนย์ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า อย่าลืมศึกษาถึงข้อจำกัด การให้บริการหลังการขายของแบรนด์ ไปจนถึงศูนย์ซ่อมและราคาการซ่อมบำรุงของรถยนต์แต่ละรุ่นให้ดี

นอกจากนี้ แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งยังต้องใช้เวลาในการชาร์จที่นาน ดังนั้น หากไม่ได้ชาร์จรถยนต์มาจากบ้านโดยตรง เจ้าของรถยนต์เองก็จะต้องวางแผนการเดินทางให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางออกต่างจังหวัดที่หาจุดชาร์จรถยนต์ได้ยากและอาจมีผู้ใช้งานจำนวนมากจนทำให้การเดินทางล่าช้าได้


ที่สำคัญ รถยนต์ไฟฟ้ายังถือเป็นรถยนต์ที่ยังใหม่กับท้องตลาด เมื่อเกิดความเสียหายและจำเป็นต้องซ่อมบำรุงขึ้นมา นอกจากจะต้องให้ช่างเฉพาะทางคอยช่วยตรวจสอบแล้ว เจ้าของรถยนต์ยังมีความเสี่ยงที่จะต้องรอสั่งอะไหล่พิเศษ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับอะไหล่ชิ้นอื่น

ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

ถาม-ตอบ! 3 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า

หลังจากที่ทำความเข้าใจทุกรายละเอียด ตลอดจนข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ ลองมาพิจารณา 3 คำถามและคำตอบเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าประกอบการตัดสินใจกัน

1. รถยนต์ไฟฟ้าปลอดภัยหรือไม่ พังเร็วกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันหรือเปล่า?

รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นรถยนต์ที่มีความทนทานและปลอดภัยเทียบเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน โดยนอกจากจะมีการทดสอบการป้องกันของแข็งและของเหลวที่สามารถเข้าสู่ตัวรถยนต์ หรือ IP Rating (Ingress Protection) แล้ว รถยนต์ไฟฟ้ายังมีการออกแบบโครงสร้างที่แข็งแรง ทั้งยังมีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดการเชื่อมต่อของแบตเตอรี่หากเกิดอุบัติเหตุ โครงสร้างป้องกันการชนและงัดแงะ ไปจนถึงการตัดการเชื่อมต่อจากไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ 

2. เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายครั้งละเท่าไหร่?

แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามรุ่นของรถยนต์ ประเภทของแบตเตอรี่ ตลอดจนจำนวนโมดูลที่ต้องใช้ในรถยนต์แต่ละรุ่น 

โดยเฉลี่ยแล้ว แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 4xx,xxx บาท โดยราคานี้ยังไม่รวมค่าบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในอนาคต ราคาค่าแบตเตอรี่อาจมีการปรับตัวได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ด้วยราคาแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างสูง รถยนต์แต่ละค่ายจึงมีการรับประกันการใช้งานแบตเตอรี่ร่วมด้วย เช่น มีการกำหนดระยะเวลา ระยะทางการใช้งาน หรือ รุ่นรถยนต์ที่รับประกัน เป็นต้น

3. ประกันรถยนต์ไฟฟ้าต่างจากประกันรถยนต์ทั่วไปอย่างไร?

นอกจากจะเห็นความคุ้มครอง ตลอดจนมีสิทธิพิเศษอื่น ๆ อย่างรถยก บริการซ่อมฉุกเฉิน และบริการช่างซ่อม เทียบเท่ากับประกันรถยนต์ทั่วไปแล้ว ประกันรถยนต์ไฟฟ้ายังให้ความคุ้มครองอุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ให้การรับประกันอุปกรณ์ชาร์จอย่าง Wall Box* ตลอดจนมีบริการเปลี่ยนยางรถยนต์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในกรณีเกิดอุบัติเหตุทางบก* นอกจากนี้ บริษัทประกันบางแห่งยังสามารถให้บริการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ฉุกเฉินได้อีกด้วย* 

*รายละเอียดขึ้นอยู่กับประเภทของประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่เลือกใช้และเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ของบริษัทประกันแต่ละแห่ง


แม้จะมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก แต่หากลองใช้เวลาและพิจารณาตามรายละเอียดที่นำมาฝากในบทความนี้แล้ว รับรองได้ว่าทุกคนจะสามารถเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้เหมาะสมกับ งบประมาณ ความต้องการ และการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกับรถยนต์ประเภทอื่น ๆ แม้จะขับรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ประมาทก็ตาม แต่อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกเวลาและสถานที่เช่นกัน ดังนั้นควรขับขี่อย่างมีสติและไม่ประมาท

และหากคุณเป็นอีกคนที่กำลังพิจารณาการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ล่ะก็ Sunday มาพร้อมกับประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่จะช่วยตอบโจทย์คุณได้มากกว่า!

  • คำนวณเบี้ยประกันโดยใช้ AI/Machine Learning ช่วยคำนวณความเสี่ยงในการรับประกันภัยรถยนต์อย่างแม่นยำ รับรอง! เหมาะกับรถยนต์ พฤติกรรมการใช้รถยนต์ พื้นที่อยู่อาศัยและความต้องการของคุณมากที่สุด 
  • คุ้มครองครบ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ประหยัดเบี้ยประกันได้มากกว่า* 
  • มาพร้อมฟังก์ชัน Live Streaming แจ้งเคลมออนไลน์ พร้อมรับใบเคลมใน 20 นาที ติดตามการซ่อมผ่าน SMS การันตีเรียกเคลมค่าชดเชยคืนใน 2 อาทิตย์! 

คลิกที่นี่ เช็กเบี้ย ประกันรถยนต์ไฟฟ้า จากซันเดย์ ง่าย ๆ ได้ด้วยตัวเอง


Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

เหตุผลที่เบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป

ทำไมเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าถึงแพงกว่าประกันรถยนต์ทั่วไป? “ประกันรถยนต์ไฟฟ้าแพงไหม” เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายๆ…
why-ev-car-insurance-premium-more-expensive

จริงไหม? รถยนต์ไฟฟ้า ประหยัดกว่ารถน้ำมัน

รถ EV ที่ไม่ได้มีแค่รักษ์โลก แต่ประหยัดได้มากกว่า! ในยุคที่คนรอบ ๆ ตัวเริ่มหันไปใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้า…
benefits-of-electric-cars-vs-gasoline-cost-savings
0
Share