เป็นที่รู้กันว่าการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามาพร้อมกับค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่ด้วยอากาศที่ร้อนระอุของเมืองไทย อาจทำให้ใครหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ระบบระบายอากาศของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน รถยนต์ไฟฟ้ามีหม้อน้ำและน้ำยาหม้อน้ำที่ช่วยระบายความร้อนหรือไม่ แล้วแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะทนทานต่ออากาศที่ร้อนระอุของเมืองไทยจริงไหม มาหาคำตอบได้ในบทความนี้กัน
รถไฟฟ้าระบายความร้อนได้อย่างไร?
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่อาจคุ้นชินกับระบบระบายความร้อนของรถยนต์สันดาปที่จะเป็นต้องมีหม้อน้ำที่ทำงานร่วมกับน้ำยาหม้อน้ำ ท่อยางหม้อน้ำ ปั๊มน้ำ วาล์วน้ำ และพัดลมระบายความร้อนที่ทำงานร่วมกัน จึงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า รถไฟฟ้าจะระบายความร้อนได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีระบบระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำเหมือนกับรถยนต์สันดาป แต่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็ได้พัฒนาระบบระบายความร้อนเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา ซึ่งจะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้
ระบบระบายความร้อนของมอเตอร์ไฟฟ้า
โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่จะใช้ ‘มอเตอร์เหนี่ยวนำ’ ที่จะใช้สนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำเพื่อแปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกล ซึ่งมอเตอร์ประเภทนี้จะประกอบไปด้วย ‘สเตเตอร์ (Stator)’ มีหน้าที่ผลิตสนามแม่เหล็ก และ ‘โรเตอร์ (Rotor)’ ทำหน้าที่กระตุ้นแรงดึงดูดของแม่เหล็กและจะหมุนเพื่อสร้างแรงบิดแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นมา
แน่นอนว่าเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องก็ย่อมเกิดความร้อนขึ้นมา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการออกแบบให้มีพัดลมและครีบระบายความร้อนรวมอยู่ด้วย ซึ่งถือเป็นวิธีที่รถไฟฟ้าใช้ระบายความร้อนและควบคุมไม่ให้มอเตอร์ไฟฟ้ามีความร้อนเกิน 30 – 55 องศาเซลเซียส
ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่รถยนต์
รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีการติดตั้งระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่ทำหน้าที่คล้ายกับหม้อน้ำรถยนต์ แต่จะมีการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับความร้อนเพิ่มเข้ามา
กล่าวคือ หากแบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเกินกว่าระดับปกติ หรือ ราว 33 – 38 องศาเซลเซียส ระบบจะสั่งการให้ปั๊มไฟฟ้าสร้างแรงดันขึ้น จากนั้นจึงให้ระบบหมุนเวียนไปดึงความร้อนออกจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าออกไปและส่งต่อเข้าไปใน Liquid Cooling System หรือ ‘สารช่วยระบายความร้อน’ เพื่อเป็นการลดอุณหภูมิของแบตเตอรี่ไฟฟ้าลง
แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพแค่ไหน?
แม้รถไฟฟ้าจะมีระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนระอุของเมืองไทยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้อุณหภูมิแบตเตอรี่สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส แน่นอนหลาย ๆ คนก็อาจสงสัยถึงประสิทธิภาพและความทนทานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน
แต่ถึงจะอากาศร้อนแค่ไหน แต่เมืองไทยก็ยังมีอากาศร้อนที่ค่อนข้างคงที่ และ ไม่ได้มีอุณหภูมิที่ต่างกันคนละขั้วเหมือนประเทศฝั่งทวีปอเมริกาและยุโรป ด้วยเหตุนี้ หากใช้งานปกติ ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุจนทำให้ระบบระบายความร้อนเสียหาย ไม่ได้ทำการดัดแปลงรถยนต์ให้ต่างไปจากเดิม หรือ มีปัญหาเดิมมาจากโรงงาน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก็ใช้งานได้ปกติ มีประสิทธิภาพ และไม่จำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมมากมาย
Sunday Tips! จริงอยู่ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพและความทนทานที่สูง หากดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ตัวแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานได้นานถึง 10 – 20 ปี ในทางตรงกันข้าม การใช้งานรถยนต์ไม่เหมาะสมก็สามารถทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวกว่าที่ควรจะเป็นได้เช่นกัน ดังนั้น หากไม่อยากเสียเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ก่อนเวลาอันควร ขอแนะนำให้ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ในบริเวณที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 38 – 40 องศา ทั้งยังควรขับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยความเร็วที่เหมาะสม เนื่องจากการขับรถยนต์ที่เร็วเกินไปอาจทำให้ระบบระบายความร้อนไม่ทัน ในระยะยาวอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวกว่าที่ควรจะเป็นได้ |
รถยนต์ไฟฟ้ามีโอกาส Overheat เหมือนรถยนต์ทั่วไปหรือไม่?
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า การใช้งานรถยนต์ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องยนต์ความร้อนขึ้น หรือเกิดภาวะโอเวอร์ฮีท (Overheat) แต่ในความเป็นจริงแล้ว การขับรถยนต์ในอากาศร้อนเป็นเพียงสาเหตุรอง แต่สาเหตุหลักจะอยู่ที่ความเสียหายของระบบระบายความร้อนของรถยนต์มากกว่า
สำหรับรถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ภาวะโอเวอร์ฮีทสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำเสีย หม้อน้ำรั่ว น้ำยาหม้อน้ำหรือน้ำยาหล่อเย็นไม่เพียงพอ วาล์วน้ำทำงานล้มเหลว ยางหม้อน้ำหรือสายพานชำรุด ส่งผลให้เครื่องยนต์มีความร้อนสูงขึ้นและดับกลางคันได้ หากฝืนขับรถยนต์ในขณะที่หม้อน้ำมีปัญหาอาจทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้รถยนต์ได้เลยทีเดียว
ในทางตรงกันข้าม แม้จะไม่มีหม้อน้ำ แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถเกิดภาวะโอเวอร์ฮีทได้จากการใช้งานรถยนต์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้รถยนต์ไฟฟ้าขับขึ้นที่ลาดชันสูงจนทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานมากกว่าปกติ และยิ่งหากมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานมากกว่าปกติในสภาพอากาศที่ร้อนจัดด้วยแล้วก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะโอเวอร์ฮีทได้
อย่างไรก็ดี รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานจะมีการติดตั้งระบบที่จะช่วยตัดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนสะสมที่อาจทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้ นอกจากนี้ ตัวแบตเตอรี่รถไฟฟ้าก็มีระบบระบายความร้อนติดตั้งเอาไว้ ซึ่งสามารถช่วยลดความร้อนสะสมที่เป็นอันตรายได้เช่นกัน
เพียงเท่านี้ก็หมดข้อสงสัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า รถไฟฟ้าจะระบายความร้อนได้อย่างไร ตลอดจนได้ทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าท่ามกลางอากาศร้อนระอุของเมืองไทยกันแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพและความทนทานสูงแค่ไหน แต่เหตุไม่คาดฝันก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่เพียงแต่จะเข้าใจถึงระบบระบายความร้อนของรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการดูแลรักษาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่การเลือกทำประกันรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ก็ถือเป็นตัวช่วยบริหารความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายที่ตามมาจากเหตุไม่คาดฝันบนท้องถนนได้เช่นกัน มาออกแบบความคุ้มครองของประกันรถยนต์ไฟฟ้าในเบี้ยประกันที่เหมาะสม เพื่อการใช้ชีวิตที่เมคเซนส์ด้วยประกันจาก Sunday