หน้าหลัก รู้ทันประกันรถยนต์ รู้ก่อนต่อประกันรถ! รวม 3 ปัจจัยที่ส่งผลกับเบี้ยประกันรถยนต์

รู้ก่อนต่อประกันรถ! รวม 3 ปัจจัยที่ส่งผลกับเบี้ยประกันรถยนต์

รู้ทันประกันรถยนต์

ต่อประกันรถให้ตอบโจทย์ ต้องรู้จัก 3 ปัจจัยที่ส่งผลกับเบี้ยประกันรถยนต์

เมื่อถึงรอบต่อประกันรถ เชื่อว่าเจ้าของรถยนต์หลายๆ คนคงสงสัยไม่น้อยว่า ทำไมรถยนต์รุ่นเดียวกันถึงจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ไม่เท่ากัน

หากใครสงสัยแบบเดียวกันนี้อยู่ ลองมาทำความรู้จักกับ 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกับเบี้ยประกันรถยนต์ เพื่อช่วยให้เจ้าของรถยนต์ทุกคนได้วางแผนต่อประกันรถยนต์ให้ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความคุ้มครองและความคุ้มค่าของเบี้ยประกันรถยนต์กัน

ปัจจัยที่ 1: ความคุ้มครองและวงเงินประกันรถยนต์

หลังจากที่เช็กเบี้ยประกันรถยนต์หลาย ๆ แห่ง เจ้าของรถยนต์หลายคนคงสับสนอยู่ไม่น้อยว่า ทำไมเบี้ยประกันแต่ละแห่งถึงไม่เท่ากัน ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งแล้ว บางครั้งเบี้ยประกันรถยนต์ยังแตกต่างกันไปตามความคุ้มครองและวงเงินประกันรถยนต์ที่ต้องการด้วย

มาเริ่มที่ความคุ้มครองกันก่อน โดยส่วนมากแล้ว ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าประกันรถยนต์ชั้นอื่น ๆ เนื่องจากประกันรถยนต์ชั้น 1 สามารถให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากภัยธรรมชาติ การโจรกรรมรถยนต์ ไปจนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์แบบไม่มีคู่กรณี 

นอกจากนี้ การเลือกรับความคุ้มครองที่กำหนดให้มี ‘ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก’ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เบี้ยประกันสูงขึ้นได้ เนื่องจากความคุ้มครองในส่วนนี้จะถูกนำไปชดเชยให้กับบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่พิสูจน์แล้วว่าผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งด้วยเช่นกัน

แต่นอกจากประเภทของประกันรถยนต์ รวมไปถึงความคุ้มครองในด้านต่าง ๆ แล้ว เจ้าของรถยนต์หลายคนยังไม่รู้ว่า ‘วงเงินคุ้มครองสูงสุดของประกันรถยนต์’ เองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกับเบี้ยประกันรถยนต์ด้วยเช่นกัน 

โดย ‘วงเงินคุ้มครองสูงสุดของประกันรถยนต์’ คือ วงเงินสูงสุดที่ประกันรถยนต์จะรับผิดชอบตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ เช่น หากประสบอุบัติเหตุที่มีค่าเสียหายรวม 300,000 บาท แต่ทำประกันรถยนต์ที่มีวงเงินคุ้มครองสูงสุดเอาไว้แค่ 100,000 บาท เท่ากับว่า ประกันจะรับผิดชอบในส่วน 100,000 บาทตามวงเงินคุ้มครองสูงสุด ในขณะที่ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายส่วนต่างอีก 200,000 บาทเอง

สรุปแล้ว หากยิ่งประกันรถยนต์มีความคุ้มครองและวงเงินคุ้มครองสูงเท่าไร ค่าเบี้ยประกันก็มีแนวโน้มว่าจะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์แล้ว อย่าลืมตรวจสอบความคุ้มครองและวงเงินคุ้มครองในละเอียดอีกรอบด้วย

ปัจจัยที่ 2: ค่าเสียหายส่วนแรก

นอกจากความคุ้มครองและวงเงินคุ้มครองสูงสุดแล้ว ‘ค่าเสียหายส่วนแรก’ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันรถยนต์ด้วยเช่นกัน โดยค่าเสียหายส่วนแรกสำหรับประกันรถยนต์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้

ค่าเสียหายส่วนแรก  (Excess) 

ค่าเสียหายส่วนแรก (Excess)  คือ จำนวนเงินที่ต้องชำระเมื่อขอเคลมประกันเต็มจำนวนแบบไม่มีคู่กรณี หรือ เป็นอุบัติเหตุแบบที่ระบุคู่กรณีไม่ได้ โดยค่าเสียหายส่วนแรกประเภทนี้จะอยู่ที่ 1,000 บาท 

ค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจ (Deductible) 

ค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจ (Deductible) คือ จำนวนเงินที่ผู้เอาประกันสมัครใจที่จะจ่ายหากมีการเคลมประกันเกิดขึ้น ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่ 1,000 – 5,000 บาท หรือเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด 

โดยทั่วไปแล้ว หากยิ่งกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจเอาไว้มากเท่าไร ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกลง ซึ่งหากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย ผู้เอาประกันก็สามารถประหยัดเบี้ยประกันรถยนต์ในส่วนนี้ได้

ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นและต้องการเคลมประกัน ผู้เอาประกันจะต้องชำระค่าเสียหายส่วนแรกที่กำหนดเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงจะสามารถนำรถยนต์มาซ่อมและเคลมประกันในลำดับต่อไปได้

อย่างไรก็ดี หากต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ด้วยการเพิ่มค่าเสียหายส่วนแรก ไม่ว่าจะเป็นการต่อประกันรถยนต์ปีที่ 2 กับบริษัทประกันเดิม หรือ ซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทประกันใหม่ อย่าลืมสอบถามถึงเงื่อนไขการจ่าย การเคลม ไปจนถึงข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย

ปัจจัยที่ 3: รายละเอียดเฉพาะของผู้เอาประกันเอง

นอกจากเงื่อนไขจากบริษัทประกันภัย อย่างความคุ้มครอง ค่าเสียหายส่วนแรก ไปจนถึงวงเงินคุ้มครองแล้ว ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เอาประกันเองก็ส่งผลกับค่าเบี้ยประกันรถยนต์ด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นอายุของผู้เอาประกันที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่รถยนต์และความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ไปจนถึงที่อยู่อาศัย และอาชีพของผู้เอาประกันที่ส่งผลต่อการใช้งานรถยนต์โดยตรง

แต่นอกจากปัจจัยที่มาจากตัวของผู้เอาประกันแล้ว ประวัติในการขับขี่ที่ผ่านมาทั้งหมดก็ส่งผลกับเบี้ยประกันรถยนต์ด้วยเช่นกัน โดย ‘ประวัติในการขับขี่ที่ผ่านมา’ ประกอบไปด้วยประวัติการใช้งานรถยนต์ที่ผ่านมา ความถี่และประเภทอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไปจนถึงประวัติในการเคลมประกันรถยนต์ทั้งหมดที่ผ่านมา 

หากยิ่งมีประวัติในการขับขี่ที่แย่ เกิดอุบัติเหตุแบบเดิมซ้ำ ๆ หลายครั้ง หรือ มีประวัติในการเคลมกรณีที่เป็นฝ่ายผิดอยู่บ่อยครั้ง บริษัทประกันอาจมองว่า ผู้เอาประกันมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าปกติ ซึ่งในจุดนี้อาจยิ่งเพิ่มเสี่ยงที่เบี้ยประกันรถยนต์จะสูงขึ้นได้ จึงเป็นเหตุผลว่าที่หลายคนสงสัยว่าทำไมเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่มขึ้นในปีต่อไปนั่นเอง

แต่สำหรับใครที่ประวัติการขับขี่ดี หรือ แม้แต่เกิดอุบัติเหตุแล้วยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝ่ายถูก ก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับส่วนลดเบี้ยประกันรถยนต์ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งด้วย

เลือกประกันรถยนต์ซันเดย์ ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มครองและความคุ้มค่า!

ซื้อประกันรถยนต์ทั้งที เลือกประกันรถยนต์ซันเดย์ที่ ‘คุณ’ สามารถออกแบบความคุ้มครองที่ใช่ได้ด้วยตัวคุณเอง 

ตั้งแต่เลือกวงเงินคุ้มครองสูงสุด ค่าเสียหายส่วนแรก ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกและปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบช่วยคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสมให้ แถมยังเลือกรับส่วนลดเบี้ยประกันรถยนต์ได้ด้วยตัวเองมากถึง 4 จุด จากประวัติการขับขี่ที่ดี การติดกล้องหน้ารถยนต์ การขับขี่ปลอดแอลกอฮอล์ และ การระบุชื่อผู้ขับขี่


ใครกำลังมองหาประกันรถยนต์กรมธรรม์ใหม่ ถึงรอบต่อประกันรถแล้ว หรือ อยากต่อประกัน ชั้น 1 ปีที่ 2 กับบริษัทประกันใหม่ เข้ามาเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ซันเดย์ได้ง่าย ๆ ใช้แค่ ‘วันเดือนปีเกิดผู้ขับขี่’ และ ‘รหัสไปรษณีย์ที่อยู่ปัจจุบัน’ เท่านั้น

Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ประกันชั้น 1 Tesla ราคาเท่าไร คิดเบี้ยจากอะไรบ้าง?

ประกันชั้น 1 สำหรับ Tesla ราคาเท่าไร คำนวณเบี้ยประกันจากอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือกำลังวางแผนซื้อ Tesla…
ประกันชั้น 1 รถยนต์ไฟฟ้า

อัปเดต! เกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์ EV จากคปภ. ปี 2567

สำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงผู้ที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่…