หน้าหลัก สาระสุขภาพ ตับวายคืออะไร มีอาการแบบไหน มีการฟื้นฟูตับวายวิธีไหนบ้าง?

ตับวายคืออะไร มีอาการแบบไหน มีการฟื้นฟูตับวายวิธีไหนบ้าง?

ตับวาย

‘ตับ’ ถือเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง หากไม่รู้จักวิธีดูแลตับอย่างเหมาะสม นานวันเข้าอาจเสี่ยงที่จะเกิด ‘ภาวะตับวาย’ ที่ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย

แล้วภาวะตับวายคืออะไร มีอาการแบบไหน จะมีวิธีการฟื้นฟูตับวายได้อย่างไรบ้าง มาหาคำตอบที่สงสัยได้ในบทความนี้กัน


‘ตับ’ สำคัญกับร่างกายอย่างไร?

‘ตับ’ เป็นอวัยวะกรองของเสียในร่างกายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในช่องท้อง ในแต่ละวันร่างกายจะลำเลียงเลือดทั้งหมดเข้าไปกรองสารพิษที่ตับมากถึง 360 รอบ ซึ่งแต่ละคนเองก็มีเลือดในร่างกายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 5 ลิตร เท่ากับว่าตับจะต้องกรองสารพิษอย่างน้อยวันละ 1,800 ลิตรเลยทีเดียว

ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวกรองสารพิษเท่านั้น แต่ ‘ตับ’ ยังเป็นอวัยวะสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีน ทั้งยังมีส่วนช่วยในการควบคุมและสะสมสารอาหารในร่างกาย ที่สำคัญ ‘ตับ’ ยังเป็นอวัยวะสำคัญที่มีส่วนช่วยรักษาสมดุลของกระบวนการย่อยอาหารในร่างกายอีกด้วย

รู้จัก ‘ภาวะตับวาย’

จะเห็นได้ว่า ‘ตับ’ เป็นอวัยวะสำคัญที่มีการทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง แม้จะรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี ตับก็สามารถเสื่อมสภาพได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่หากยิ่งไม่ดูแลรักษาสุขภาพ หรือ ใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลเสียกับตับด้วยแล้ว แน่นอนว่าย่อมเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิด ‘ภาวะตับวาย’ ได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ เช่นกัน

แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีดูแลตับให้แข็งแรงและอยู่คู่ร่างกายได้นาน ๆ ในส่วนนี้ลองมาทำความเข้าใจถึงรายละเอียดและความอันตรายของภาวะตับวายกัน

ตับวายคืออะไร-มีอาการแบบไหน

ภาวะตับวายคืออะไร?

ตับวาย (Liver Failure) คือ ภาวะที่เนื้อเยื่อตับได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ตับไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนอย่างเคย 

หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษา ร่างกายก็จะเริ่มมีการสะสมของเสียและสารพิษเป็นจำนวนมาก ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘ภาวะสมองบวม’ จากการที่ตับไม่สามารถกำจัดแอมโมเนียในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึง ‘ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร’ 

ที่สำคัญ ภาวะตับวายยังสามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะข้างเคียงอื่นได้ เช่น อาจมีส่วนทำให้ไตวายเฉียบพลัน มีภาวะเลือดออกผิดปกติ มีภาวะภูมิต้านทานลดลง หรือ ทำให้เกิดภาวะการหายใจล้มเหลว หรือ มะเร็งตับที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้

ตับวายมีกี่ประเภท?

ในปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ได้แบ่งภาวะตับวายออกเป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้

  1. ภาวะตับวายเฉียบพลัน เป็นภาวะตับวายที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่วัน หรือ ไม่กี่สัปดาห์ 
  2. ภาวะตับวายเรื้อรัง เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อของตับเสียหายจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ ส่วนใหญ่มักเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ใช้เวลาหลายปีถึงจะค่อย ๆ แสดงอาการออกมา

สาเหตุตับวายที่หลายคนมองข้าม

หลายคนมักเข้าใจว่า สาเหตุตับวายเกิดจากการที่ดื่มแอลกอฮอล์มากจนเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุการเกิดตับวายนั้นจะแตกต่างกันไปตามประเภทของภาวะตับวาย ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. สาเหตุการเกิดตับวายเฉียบพลัน 

มักเกิดจากการรับประทานยาเกินขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาพาราเซตามอล ยาเสพติดอย่างยาอี หรือ โคเคน ไปจนถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเศร้า รวมไปถึงยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) 

นอกจากนี้ การรับประทานสมุนไพรอย่างสารสกัดใบชา ขี้เหล็ก บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร รวมถึงเห็ดเผาะ เป็นจำนวนมากติดต่อกันยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะตับวายได้ ไม่เพียงเท่านั้น การได้รับสารพิษจากสารทำความเย็น หรือ ตัวทำละลายสำหรับแว็กซ์เคลือบเงา ก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะตับวายเฉียบพลันได้เช่นกัน

ที่สำคัญ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ไปจนถึงไวรัสที่ติดต่อกันผ่านสารคัดหลั่งอย่างไวรัสเอ็บสไตบาร์ที่ติดต่อผ่านทางของเหลวในปาก และ ไวรัส Herpes simplex หรือ HSV ที่ก่อให้เกิดโรคเริม ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดภาวะตับวายเฉียบพลันได้เช่นกัน

2. สาเหตุการเกิดตับวายเรื้อรัง

สาเหตุตับวายเรื้อรังมักเป็นผลมาจากโรคตับแข็ง (Cirrhosis) หรือ ภาวะที่ตับได้รับความเสียหายและเกิดแผลเป็นถาวร ส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรังจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน หรือ มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ภาวะไขมันพอกตับ ภาวะท่อน้ำดีอุดตัน ภาวะหัวใจล้มเหลวหลายครั้ง หรือ ได้รับสารพิษเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ภาวะตับวายเรื้อรังยังมีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี ทั้งยังสามารถเกิดได้จากโรคร้ายอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรควิลสันที่เกิดจากการสะสมทองแดงในตับมากเกินไป ไปจนถึงโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง

ตับวายมีอาการอย่างไร?

ภาวะตับวายมักจะไม่แสดงอาการที่รุนแรงในทันที แต่หากเริ่มสังเกตว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อไหร่ ขอแนะนำให้รีบเข้าไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กความผิดปกติในทันที โดยภาวะตับวายมักจะแสดงอาการ ดังนี้ 

  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องเสีย
  • อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เกิดรอยช้ำและเลือดออกง่ายผิดปกติ
  • มีอาการคัน
  • ขาบวมน้ำ
  • ท้องบวมน้ำ เนื่องจากมีภาวะท้องมาน (Ascites) หรือ ภาวะที่ของเหลวสะสมในระหว่างเยื่อหุ้มช่องท้องและอวัยวะภายในช่องท้องมากผิดปกติ
  • มีภาวะขาดน้ำ
  • รู้สึกจุกที่บริเวณชายโครงด้านขวา
  • ตับ หรือ ม้าม มีขนาดใหญ่ขึ้น
  • มีภาวะดีซ่าน หรือ ภาวะที่เยื่อบุตาขาว เนื้อเยื่อ และผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เนื่องจากมีสารบิลิรูบินสะสมในกระแสเลือดมากเกินไป
  • มือสั่น กระตุก
  • มีภาวะเซื่องซึม สับสน ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • โคม่า 

เมื่อเข้าใจถึงอันตรายของ ภาวะตับวาย ที่อาจเกิดจากพฤติกรรมสะสมอย่างการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ คำถามต่อไปคือ “แล้วจะดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เสี่ยง?” เพราะการดื่มไม่จำเป็นต้องเลิกทันที แต่สามารถเริ่มจากการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม หากคุณอยากรู้เคล็ดลับในการดื่มอย่างปลอดภัย หรือแนวทางลด-เลิกแอลกอฮอล์อย่างได้ผล ลองอ่านต่อได้ที่บทความนี้ ดื่มแอลกอฮอล์อย่างไรให้ไม่พัง พร้อมวิธีลด-เลิก


การรักษาภาวะตับวายในปัจจุบัน

การฟื้นฟูตับวายในปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง ประเภทของตับวาย ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ปรากฏขึ้น

การตรวจภาวะตับวาย

ในขั้นแรก แพทย์จะทำการตรวจสอบภาวะตับวายตามวิธีที่เห็นสมควร ซึ่งจะพิจารณาจากระดับความรุนแรงของอาการและสภาพร่างกายของคนไข้ โดยหลัก ๆ จะทำได้ 6 วิธี ดังนี้

  1. การซักประวัติ
  2. ตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับ 
  3. การอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน 
  4. การถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) 
  5. การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) 
  6. ลงความเห็นให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหาความเสียหายของตับ
การฟื้นฟูตับวายทำได้อย่างไร

การฟื้นฟูตับวายทำได้อย่างไร?

หากตรวจพบภาวะตับวาย แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป โดยส่วนใหญ่จะมีด้วยกัน 4 วิธีหลัก ดังนี้

  1. รักษาตามอาการและความเฉพาะเจาะจง เช่น ใช้ยาอะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) เพื่อต้านพิษจากการรับประทานพาราเซตามอลเกินขนาด หรือ ให้ยาต้านเชื้อไวรัสร่วมกับการปรับพฤติกรรม 
  2. รักษาตามภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น ภาวะสมองบวมเนื่องจากมาจากตับวาย 
  3. การผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือ ปลูกถ่ายตับ ในกรณีที่รักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล 
  4. การใช้เครื่องพยุงการทำงานของตับ ซึ่งจะเป็นการใช้โปรตีนอัลบูมินเข้ามาช่วยจับสารพิษที่เกิดจากภาวะตับวาย แต่ไม่ได้ช่วยรักษาภาวะตับวายโดยตรง ส่วนใหญ่มักใช้เพื่อประคองอาการ ลดภาวะแทรกซ้อน หรือใช้ในระหว่างที่รอผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตับ 

8 วิธีดูแลตับให้แข็งแรง ห่างไกลจากตับวาย

8 วิธีดูแลตับให้แข็งแรง

การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะตับวายได้ สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะมีวิธีดูแลตับอย่างไรให้แข็งแรง ขอแนะนำให้ปฏิบัติตัวตาม 8 วิธี ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อตับ เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง หรือ เลิกดื่มไปเลย 
  2. รักษาสุขอนามัย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่สะอาดจากร้านที่ได้มาตรฐาน การมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัยโดยใช้ถุงยางอนามัย ไปจนถึงการงดใช้ของร่วมกับผู้อื่น
  3. รับประทานยาในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ในความควบคุมของแพทย์ เช่น ไม่รับประทานพาราเซตามอลเกินขนาด ห้ามรับประทานยาสมุนไพร วิตามินและอาหารเสริมก่อนปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  4. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบตามระยะเวลาที่กำหนด
  5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำลายและเลือด
  6. ควบคุมน้ำหนักและไขมันในร่างกาย ด้วยการออกกำลังกายและการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  7. เข้ารับการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี
  8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง เช่น ยาฆ่าแมลง สเปรย์กระป๋อง ไปจนถึงสารเคมีอื่น ๆ เนื่องจากสารเคมีดังกล่าวอาจซึมเข้าสู่ผิวหนังและเป็นอันตรายต่อตับได้

ตับวายเป็นภาวะที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งยังส่งผลเสียในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน มิหนำซ้ำยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้เช่นกัน รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมดูแลตับของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอตามทั้ง 8 วิธีดูแลตับที่นำมาฝากในวันนี้ พร้อมรักษาสุขภาพให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะตับวายได้


โรคที่เกี่ยวข้องกับตับเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคเสี่ยงที่ส่งผลต่อการทำประกันสุขภาพ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ เงื่อนไขในการทำประกันสุขภาพที่เกี่ยวข้อง หรือ ปรึกษารายละเอียดการทำประกันสุขภาพออนไลน์กับ Sunday สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @easysunday หรือโทร. 02 – 022 – 1111

ประกันสุขภาพเหมาจ่าย IPD
ประกันสุขภาพเหมาจ่าย Sunday lumpsum ipd only แบบผู้ป่วยใน

Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ฝุ่น PM 2.5 กลับมาทุกหน้าหนาว จะมีวิธีป้องกันดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัวอย่างไร?

ฝุ่น PM 2.5 คือ อนุภาคขนาดจิ๋วที่อันตรายกว่าแค่ฝุ่นละอองทั่วไป เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร…
ฝุ่น pm 2.5

3 โรคหน้าฝนสุดอันตราย อาการหนักถ้าไม่รีบรักษา

เมื่อพูดถึงหน้าฝน นอกจากบรรยากาศชื้นแสนอึดอัด การจราจรติดขัดหนัก และความเสี่ยงน้ำท่วมสูงแล้ว “โรคหน้าฝน”…
3 อันดับโรคหน้าฝน
0
Share