hero-image

ซื้อ ORA Good Cat ให้ตอบโจทย์ เพียงเข้าใจ 3 เรื่องนี้!

ด้วยสมรรถนะที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ประกอบกับราคาค่าตัวที่ไม่สูงมาก แถมเมื่อรวมกับดีไซน์น่ารักโดดเด่นด้วยแล้ว เชื่อว่าใคร ๆ ก็คงตกหลุมรักเจ้ารถยนต์ไฟฟ้าเหมียวอย่าง ORA Good Cat ได้ไม่ยากเลยทีเดียว

แต่ก่อนจะโดนความน่ารักของน้องเหมียว ORA Good Cat ฉุดไปที่ไหน ลองมาหยุดพิจารณา 3 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ ORA Good Cat กัน ครบตั้งแต่สเปครถยนต์ที่ต้องรู้ แต่ละรุ่นราคาเท่าไหร่ ไปจนถึงรู้ว่า ประกัน ORA Good Cat ราคาแพงจริงไหม?

เรื่องที่ต้องรู้ก่อนซื้อ-ORA-Good-Cat

1. ภาพรวมของ ORA Good Cat

ORA Good Cat เป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งในปัจจุบันจะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Great Wall Motors หรือ GWM โดย ORA Good Cat ถือเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย ทั้งในเรื่องของสมรรถนะที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าใน B-segment จากค่ายอื่น ๆ ไปจนถึงการใช้งานทั่วไปและราคาค่าตัวที่สมเหตุสมผล

สเปคเบื้องต้นของ ORA Good Cat

ORA Good Cat เป็นรถยนต์ไฟฟ้า BEV ระดับ B-segment เทียบเท่ากับ BYD Dolphin และ Neta V ซึ่งในปัจจุบันนี้ ORA Good Cat ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย GMW หรือ ORA Thailand จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่นหลัก ประกอบไปด้วย

  1. ORA Good Cat Tech ราคาเริ่มต้น 763,000 บาท
  2. ORA Good Cat Pro ราคาเริ่มต้น 828,500 บาท
  3. ORA Good Cat 500 ULTRA ราคาเริ่มต้น 959,000 บาท
  4. ORA Good Cat GT ราคาเริ่มต้น 1,286,000 บาท

โดยเบื้องต้นแล้ว รถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat ทั้ง 4 รุ่นจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดแบตเตอรี่ สมรรถนะการขับขี่ ความแรงของเครื่องยนต์ ไปจนถึงระบบอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร

หากเปรียบเทียบแล้ว ORA Good Cat GT และ ORA Good Cat 500 ULTRA จะมีขนาดแบตเตอรี่สูงถึง 63.1 kWh รองรับระยะทางการขับขี่ได้ยาวกว่า 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งที่ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ในขณะที่ ORA Good Cat Tech และ ORA Good Cat Pro จะรองรับการขับขี่เพียง 400 กิโลเมตร พร้อมแบตเตอรีความจุเพียง 47.8 kWh แต่จะใช้ระยะเวลาในการชาร์จเต็มเพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องโดยสาร ORA Good Cat GT นั้นจะมาพร้อมกับ ‘ระบบระบายอากาศเบาะหน้า’ และ ‘ระบบเบาะนวดไฟฟ้า’ ทั้งยังมี Welcome light แบบพิเศษ เพื่อประสบการณ์ขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น 

เมื่อประกอบกับเครื่องยนต์ที่มีความแรงถึง 171 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตรด้วยแล้ว ทำให้ ORA Good Cat GT เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานในชีวิตประจำวัน การเดินทางออกต่างจังหวัด ไปจนถึงการใช้เป็นรถยนต์ครอบครัวขนาดเล็ก ซึ่งถือว่าตอบโจทย์กว่า ORA Good Cat รุ่นอื่น ๆ ที่มีความแรงเครื่องยนต์เพียง 143 แรงม้า พร้อมแรงบิด 210 นิวตันเมตร


2. ข้อดี – ข้อควรระวังของ ORA Good Cat

จากสเปคการใช้งานข้างต้น เชื่อว่าหลายคนเองก็คงเริ่มเทใจให้กับ ORA Good Cat ไม่มากก็น้อย แต่สำหรับใครอยากได้ข้อมูลก่อนตัดสินใจไปทดลองขับ ORA Good Cat ด้วยตัวเอง ลองมาพิจารณาถึงข้อดีและข้อควรระวังในการใช้งาน ORA Good Cat เบื้องต้นกัน

ข้อดีของ ORA Good Cat

ORA Good Cat เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยระบบความปลอดภัยในการขับขี่ของทั้งผู้โดยสารและผู้ใช้ท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นระบบ Intelligent Single Pedal สำหรับควบคุมการเร่งและชะลอความเร็ว ไปจนถึงระบบเบรกฉุกเฉินและกระจายแรงเบรก ซึ่งมีส่วนช่วยสำคัญในการลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ไปได้

นอกจากนี้ ภายในรถยนต์ ORA Good Cat ทุกรุ่นยังมีการติดตั้งระบบเสียงแจ้งเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่ รวมถึงระบบ Blind Spot เพื่อลดจุดบอดในการขับขี่ ทำให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการขับขี่ได้ครบทุกมุมมองมากยิ่งขึ้น 

ไม่เพียงเท่านั้น ORA Good Cat ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมกับดีไซน์ Retro Futuristic อันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ไม่ว่าจะขับรถยนต์ไปที่ไหนก็รู้สึกได้ถึงความโดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่งสำหรับใครหลายคนแล้ว การออกแบบนี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ได้ดีเลยทีเดียว

ข้อควรระวังของ ORA Good Cat

ORA Good Cat เป็นรถยนต์ขนาด B-segment ที่มาพร้อมกับขนาดห้องโดยสารที่ค่อนข้างเล็ก ทำให้อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีขนาดตัวใหญ่ หรือ ผู้ที่มีส่วนสูงมากกว่า 170 เซนติเมตรขึ้นไป 

ถัดมาจากขนาดห้องโดยสารแล้ว ผู้ใช้งานบางส่วนยังมองว่า ORA Good Cat เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแป้นเบรกตื้น ทำให้จำเป็นต้องงอเท้าในขณะที่ขับขี่ ทั้งยังมีระบบเบรกและการเร่งความเร็วที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวในการขับขี่อยู่พอสมควร

นอกจากนี้ ORA Good Cat ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารที่ค่อนข้างชัด ทั้งจากยางรถยนต์และช่วงล่าง ซึ่งเจ้าของรถยนต์จะต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ หรือ เลือกติดตั้ง Sound Damping หรือ อุปกรณ์ป้องกันเสียงภายในรถยนต์ 

ที่สำคัญ แม้ ORA Good Cat จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่อะไหล่สำคัญให้บริการในไทยแบบครอบคลุม แต่อะไหล่บางส่วนเองจำเป็นที่จะต้องสั่งจากต่างประเทศเช่นกัน ทำให้หากเกิดอุบัติเหตุ หรือ ความผิดปกติขึ้นมา อาจทำให้ใช้เวลาในการซ่อมแซมรถยนต์นานขึ้นนั่นเอง

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ สำหรับใครที่สนใจซื้อ ORA Good Cat สักคัน อย่าลืมหาเวลาไปทดลองขับรถยนต์ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการทดสอบประสบการณ์การขับขี่ของรถยนต์ ทั้งยังควรสอบถามไปยังศูนย์ให้บริการถึงระยะเวลาในการซ่อมแซม อะไหล่ที่มีอยู่ในไทย ไปจนถึงเงื่อนไขการให้บริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ซื้อ-ORA-Good-Cat-ข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

3. ประกัน ORA Good Cat คุ้มครองอะไรบ้าง? 

เช่นเดียวกับประกันรถยนต์ไฟฟ้าค่ายรถยนต์อื่น ประกัน ORA Good Cat เองก็ให้ความคุ้มครองเทียบเท่ากับรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งจะประกอบไปด้วยความคุ้มครองต่อรถยนต์ ความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอก รวมไปถึงความคุ้มครองเพิ่มเติมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ ไปจนถึงการรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุในกรณีต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขความคุ้มครองของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่ง

แต่นอกจากความคุ้มครองพื้นฐานแล้ว บริษัทประกันภัยอาจมีการเพิ่มความคุ้มครองเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองสำหรับอุบัติเหตุและความเสียหายในระหว่างการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงให้ความคุ้มครองสำหรับอุปกรณ์รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งความคุ้มครองในส่วนนี้จะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่ง


ซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat ที่ไหนดี?

“ประกัน ORA Good Cat ราคาแพงไหม” เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ใครหลายคนสงสัยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์ ORA Good Cat คันใหม่ในเร็ว ๆ นี้

โดยทั่วไปแล้ว ประกันรถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat จะมีราคาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นทุนประกัน ประวัติการขับขี่ที่ผ่านมา ไปจนถึงเงื่อนไขความคุ้มครองอื่น ๆ ที่ต้องการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งด้วยเช่นกัน

แต่จะดีกว่าไหม? หากคุณสามารถเลือกออกแบบความคุ้มครอง เพื่อเลือกเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับตัวเองได้

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า Sunday พร้อมให้คุณออกแบบความคุ้มครองด้วยตัวเอง พร้อมระบบช่วยคำนวณเบี้ยประกันรถยนต์ที่เหมาะสมให้คุณได้ง่าย ๆ ลองเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าประกอบการตัดสินใจได้อย่างสะดวก กรอกแค่ ‘วันเดือนปีเกิดผู้ขับขี่’ และ ‘รหัสไปรษณีย์ที่อยู่ปัจจุบัน’ ไม่ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวให้ลำบากใจ