การเปลี่ยนสีรถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความชอบส่วนบุคคล หรือ ความสวยงามเท่านั้น แต่ในทางกฎหมาย รวมถึงด้านความคุ้มครองของประกันรถยนต์แล้ว การเปลี่ยนสีรถยนต์ใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งให้ทราบ เพราะอาจส่งผลต่อความปลอดภัย ความคุ้มครอง รวมถึงการเคลมประกันรถยนต์ในอนาคตด้วย
หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังวางแผนเปลี่ยนสีรถยนต์ใหม่ แต่ไม่มั่นใจว่าการแปลงโฉมรถยนต์ในครั้งนี้จะส่งผลกับประกันรถยนต์ และ ข้อกฎหมายในประเทศไทยอย่างไรบ้าง ลองมาหาคำตอบในบทความนี้กัน

การเปลี่ยนสีรถยนต์ ตามนิยามของกฎหมาย
ตามกฎหมายระบุไว้ว่า หากมีการ “เปลี่ยนสีของตัวรถมากกว่า 30%” จะถือว่าเป็นการดัดแปลงสภาพรถ (Modification) และเจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงนี้ต่อกรมการขนส่งทางบก ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เปลี่ยนสีรถแล้วเสร็จ
หากไม่แจ้งขนส่งฯ เจ้าของรถอาจมีความผิดตามกฎหมาย และอาจถูกปรับสูงสุด 2,000 บาท ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ฯ พ.ศ. 2522
กรณีไหนต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์บ้าง?
ตามหลักแล้ว หากเปลี่ยนสีรถมากกว่า 30% ของพื้นที่ตัวถังทั้งหมด จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนสีที่มีนัยสำคัญ และเจ้าของรถยนต์จำเป็นต้องแจ้งกรมขนส่งและบริษัทประกันรถยนต์
อย่างไรก็ดี การวัด 30% ของพื้นที่ตัวรถอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่โดยทั่วไป หากสีรถยนต์ที่ทำมาใหม่ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่าสีรถเปลี่ยนไปจากเดิม เจ้าของรถยนต์ก็ควรแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์เพื่อความถูกต้อง
ตัวอย่างกรณีที่ควรแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์
- เปลี่ยนสีฝั่งใดฝั่งหนึ่ง หรือ ทั้งฝั่ง
- เปลี่ยนสีฝากระโปรงทั้งด้านหน้าและหลัง
- พ่นสีรถทั้งคันใหม่
- Wrap รถ หรือ แรปรถด้วยสีใหม่ทั้งคัน
- เปลี่ยนสีหลังคา
เปลี่ยนสีรถยนต์ ต้องแจ้งประกันรถยนต์ด้วยหรือไม่?
คำตอบ คือ ต้องแจ้งบริษัทประกันรถยนต์ด้วย โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เพราะสีรถถือเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและระบุตัวตนของรถในระบบของบริษัทประกัน
หากมีการเปลี่ยนสีแต่ไม่แจ้งบริษัทประกัน อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น
- อาจเกิดปัญหาเมื่อเคลม เช่น บริษัทประกันปฏิเสธความคุ้มครอง เพราะข้อมูลของรถไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
- อาจทำให้กระบวนการเคลมล่าช้า เพราะต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
- อาจส่งผลถึงเบี้ยประกันในอนาคต หากบริษัทประกันถือว่ามีการดัดแปลงสภาพรถที่เพิ่มความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี บริษัทประกันจะมีเงื่อนไขในการพิจารณาที่แตกต่างกันไป เช่น อาจมีการอนุมัติการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือ อาจมีการตรวจสอบรายละเอียดอื่นๆ ก่อนพิจารณาเงื่อนไขรับประกันและความคุ้มครองใหม่
ดังนั้น หากตัดสินใจเปลี่ยนสีรถแล้ว หลังจากที่แจ้งกรมการขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมสอบถามกับบริษัทประกันรถยนต์อีกครั้ง เพื่อรับทราบเงื่อนไขและความคุ้มครองต่อไป
แล้วการ Wrap รถยนต์ ถือเป็นการเปลี่ยนสีรถหรือไม่?
การ Wrap รถ หรือ Car Wrapping คือ การติดฟิล์มไวนิล หรือ สติกเกอร์บนตัวรถ เพื่อเปลี่ยนสีรถยนต์ใหม่ หรือ เพิ่มลวดลายต่างๆ โดยไม่ต้องพ่นสีใหม่
แม้จะไม่ใช่การพ่นสีแบบถาวร แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การ Wrap รถถือเป็นการเปลี่ยนสภาพภายนอกรถ และเข้าข่ายการเปลี่ยนสี โดยหาก Wrap รถครอบคลุมพื้นที่ตัวถังมากกว่า 30% เช่นเดียวกับกรณีของการพ่นสีใหม่
ดังนั้น หากคุณ Wrap รถทั้งคัน หรือ มีการ Wrap ส่วนใหญ่ของรถ ขอแนะนำให้แจ้งกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ระบุสีใหม่ในเล่มทะเบียนด้วย
นอกจากนี้ อย่าลืมแจ้งเปลี่ยนสีรถกับบริษัทประกันภัย เพื่อปรับปรุงข้อมูลในกรมธรรม์ให้สอดคล้องกับสีรถยนต์ใหม่ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาในการเคลม โดยเฉพาะในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วสีรถยนต์ที่ปรากฏไม่ตรงกับทะเบียน หรือ ข้อมูลในกรมธรรม์นั่นเอง

วิธีแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์ง่ายๆ
1. กรณีแจ้งเปลี่ยนสีรถกับกรมการขนส่งทางบก
เจ้าของรถยนต์สามารถติดต่อแจ้งเปลี่ยนสีรถกับสำนักงานขนส่งทางบกที่คุณจดทะเบียนรถ หรือสำนักงานขนส่งทางบกทั่วประเทศ
เอกสารที่ใช้
- เล่มทะเบียนรถตัวจริง (สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ พร้อมเซ็นสำเนาถูกต้อง (ถ้าเจ้าของรถมาดำเนินการเอง)
- กรณีมอบอำนาจ: ใช้สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ พร้อมเซ็นสำเนาถูกต้อง และหนังสือมอบอำนาจ
- หลักฐานการเปลี่ยนสีรถ เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าทำสีรถ หรือ ใบเสร็จค่าติดฟิล์ม/สติกเกอร์ (ควรมีรายละเอียดของสีใหม่) หากไม่มีใบเสร็จอาจใช้บิลเงินสดที่ระบุรายละเอียดชื่อร้าน/อู่, วันที่, ชื่อเจ้าของรถ, ที่อยู่ และรายละเอียดสีใหม่ของรถ
- ตัวรถยนต์ที่ทำสีใหม่แล้ว เนื่องจากต้องนำรถไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสภาพที่สำนักงานขนส่งด้วย
วิธีแจ้งเปลี่ยนสีรถกับกรมการขนส่งทางบก
- เตรียมเอกสารทั้งหมดให้พร้อม
- นำรถยนต์ไปที่สำนักงานขนส่ง
- ยื่นคำขอและเอกสารที่เตรียมไว้ เพื่อนำรถเข้ารับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่
- เมื่อรถผ่านการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จะออกใบแจ้งผลการตรวจสอบ
- นำใบแจ้งผลการตรวจสอบและเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่เคาน์เตอร์เพื่อชำระค่าธรรมเนียม
- รอรับเล่มทะเบียนรถที่แก้ไขข้อมูลสีรถแล้ว และใบเสร็จการชำระเงิน
ข้อควรรู้
- ต้องแจ้งภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เปลี่ยนสีรถเสร็จสิ้น หากเกินกำหนดอาจมีค่าปรับสูงสุด 2,000 บาท
- หากเป็นการติดสติกเกอร์ หรือ การ Wrap รถยนต์ที่ไม่ทำให้สีหลักของรถเปลี่ยนไป เช่น ติดแค่บางส่วนเล็กน้อย หรือ เป็นลายที่ไม่ใช่การเปลี่ยนสีหลัก และครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า 30% อาจไม่จำเป็นต้องแจ้ง แต่เพื่อความชัวร์ แนะนำให้ติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกโดยตรง
2. กรณีแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์กับบริษัทประกันรถยนต์
เจ้าของรถยนต์สามารถติดต่อบริษัทที่คุณทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจไว้
เอกสารที่ใช้
- เล่มทะเบียนรถ หรือ สำเนาเล่มทะเบียนรถที่แก้ไขสีแล้ว
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ
- หลักฐานการเปลี่ยนสีรถ เช่น ใบเสร็จรับเงิน พร้อมแจ้งข้อมูลรายละเอียดสีใหม่ และวันที่มีผลการเปลี่ยนสี
วิธีแจ้งเปลี่ยนสีรถยนต์กับบริษัทประกันรถยนต์
- ติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อแจ้งความประสงค์
- สอบถามเอกสารที่บริษัทต้องการ และขั้นตอนการดำเนินการ
- ส่งเอกสารตามที่บริษัทร้องขอ ตามช่องทางที่บริษัทกำหนด
- บริษัทจะทำการบันทึกข้อมูลสีรถใหม่ในกรมธรรม์ของคุณ
ข้อควรรู้
- ควรแจ้งให้บริษัทประกันทราบทันทีหลังจากเปลี่ยนสีรถเสร็จสิ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเคลม
- ส่วนใหญ่แล้ว การแจ้งเปลี่ยนสีรถมักจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่การไม่แจ้งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการเคลมประกันในอนาคต เช่น บริษัทปฏิเสธความคุ้มครอง หรือทำให้กระบวนการเคลมล่าช้า เป็นต้น
การเปลี่ยนสีรถยนต์ แม้จะดูเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ในทางกฎหมายและประกันรถยนต์แล้วถือว่าเป็น “ข้อมูลสำคัญ” ที่ต้องอัปเดตให้ถูกต้อง เพราะนอกจากจะมีผลต่อสถานะทางกฎหมายของรถแล้ว ยังส่งผลต่อความคุ้มครองประกันภัย ทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาในการเคลมประกันในอนาคตด้วย ทั้งนี้ หากต้องการอัปเดตข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกรมธรรม์รถยนต์ แนะนำให้อ่าน นโยบายใหม่ของประกันรถยนต์จาก คปภ. ที่เพิ่งประกาศใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าความคุ้มครองยังครอบคลุมตามต้องการ
หากคุณเพิ่งเริ่มมองหาประกันรถยนต์ใหม่ หรือไม่แน่ใจว่าจะเลือกแบบไหนดี ลองดู แนวทางการเลือกประกันรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการ เพื่อช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

