หน้าหลัก สาระสุขภาพ ‘โยเกิร์ตธรรมชาติ’ อาหารสุขภาพยอดนิยม กินแล้วดีต่อสุขภาพจริงไหม?

‘โยเกิร์ตธรรมชาติ’ อาหารสุขภาพยอดนิยม กินแล้วดีต่อสุขภาพจริงไหม?

โยเกิร์ตช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม

หากพูดถึงอาหารสุขภาพยอดนิยมที่ทานง่ายและมีรสชาติถูกปากใครหลายคน เชื่อว่าโยเกิร์ตจะต้องอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน ซึ่งหลายๆ คนอาจจะคิดว่านอกจากรสชาติของโยเกิร์ต ที่อร่อยและหาทานได้ง่ายแล้ว โยเกิร์ตก็อาจมีประโยชน์แค่ในเรื่องของการช่วยลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย

ว่าแต่โยเกิร์ตจะมีประโยชน์อย่างไร เลือกกินโยเกิร์ตกินตอนไหนดี หรือ โยเกิร์ตจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง เราจะพาคุณไปหาคำตอบในบทความนี้กัน


ทำความรู้จัก ‘โยเกิร์ต’ อาหารสุขภาพยอดนิยม

ก่อนที่จะไปเรียนรู้กันว่า โยเกิร์ตมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่าโยเกิร์ตนั้นคืออะไรและโยเกิร์ตทำมาจากอะไร 

โยเกิร์ตทำมาจากการนำน้ำนมของสัตว์และพืชไปหมักกับแบคทีเรีย ซึ่งจะต้องเป็นแบคทีเรียที่ผลิตกรดแลกติกได้เท่านั้น เนื่องจากกรดแลกติกจะทำให้โปร

ตีนในน้ำนมเสียสภาพและจับตัวตกตะกอนจนกลายเป็นเนื้อโยเกิร์ตที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้

โดยหลัก ๆ แล้ว โยเกิร์ตที่รับประทานกันอยู่ในทุกวันนี้จะมีด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ดังนี้ 

1. โยเกิร์ตธรรมชาติ (Plain Yogurt) คือโยเกิร์ตที่ผลิตจากนมโคสด 100% ไม่มีการปรุงแต่งด้วยส่วนผสมอื่น รวมไปถึงขั้นตอนการผลิตที่ไม่มีสารเคมีเจือปนใดๆ

2. โยเกิร์ตที่ปรุงแต่งด้วยผลไม้ (Fruit Yogurt) คือโยเกิร์ตที่มีการใส่เนื้อผลไม้หรือน้ำเชื่อมรสผลไม้ลงไปปั่นพร้อมกับโยเกิร์ตด้วย

3. โยเกิร์ตที่ปรุงแต่งด้วยสารสังเคราะห์ (Flavoured Yogurt) คือโยเกิร์ตที่ผ่านปรุงแต่ง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผลไม้อย่างเดียว อาจเป็นรส สี หรือกลิ่น ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา

ประโยชน์ของโยเกิร์ตมีอะไรบ้าง

โยเกิร์ตมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง?

ข้อดีของโยเกิร์ต

ช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวก

สำหรับใครที่ไม่ชอบรับประทานผัก แนะนำว่าให้ทานโยเกิร์ตเสริมเข้าไปอีกหน่อย เนื่องจากประโยชน์ของโยเกิร์ตอย่างหนึ่ง คือ เป็นอาหารที่ช่วยประสมดุลของลำไส้ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีแบคทีเรียที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้คล่องขึ้น

ช่วยลดกลิ่นปาก

รู้หรือไม่? ว่าโยเกิร์ตธรรมชาติยังมีสรรพคุณช่วยลดกลิ่นปากได้ด้วย เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียที่ชื่อว่าแลคโตบาซิลัสที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นปากที่ชื่อไฮโดรเจรซัสไฟด์ได้

บรรเทาอาการนอนไม่หลับ

ใครที่นอนไม่ค่อยหลับ แนะนำว่าให้ลองทานโยเกิร์ตธรรมชาติกันดู เพราะในโยเกิร์ตธรรมชาติจะมีกรดอะมิโนและทริปโตเฟนที่จะไปช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เรานอนหลับออกมา (ฮอร์โมนเซโรโทนิน) จึงทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายกว่าเดิม

เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

ต้องบอกว่าหากเทียบกับปริมาณแล้ว โยเกิร์ตเป็นอาหารที่มีโปรตีนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว โดยเฉพาะโยเกิร์ตธรรมชาติ ที่ไม่มีการใส่น้ำตาลหรือรสปรุงแต่งอื่น ๆ เพิ่มเติม หากยิ่งทานหลังวันที่เล่นเวทมาด้วย ก็จะยิ่งช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี

ช่วยลดน้ำหนัก

ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยลดน้ำหนัก บอกเลยว่าการทานโยเกิร์ตช่วยลดน้ำหนักได้ดีเลยทีเดียว เพราะโยเกิร์ตเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง จึงทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน นอกจากนี้ก็ยังมีแคลอรี่ต่ำอีกด้วย โดยแนะนำว่าให้ลองกินโยเกิร์ตทุกวันเป็นอาหารเช้าร่วมกับผลไม้หรือไข่ต้ม แทนการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ดียิ่งขึ้น

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เนื่องจากโยเกิร์ตมีโพรไบโอติกอยู่ด้วย ซึ่งหากเรารับประทานเข้าไป ตัวโพรไบโอติกก็จะช่วยเข้าไปปรับสมดุลในลำไส้ ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรคในร่างกาย ลดการอักเสบของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทั้งยังช่วยแก้อาการท้องผูก และช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายของเรา ซึ่งหมายความว่า ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็จะดีไปด้วยนั่นเอง

ซื้อประกันสุขภาพเหมาจ่าย

ข้อเสียของโยเกิร์ต

มีปริมาณน้ำตาลสูง

ถึงแม้ว่าโยเกิร์ตจะมีโปรตีนสูงและแคลอรี่ต่ำ แต่หากทานปริมาณมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน โดยเฉพาะโยเกิร์ตที่มีการปรุงแต่งรสชาติเพิ่มเติม เนื่องจากจะมีน้ำตาลและไขมันสูงกว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง 

แน่นอนว่าหากทานมากเกินไป แทนที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักก็อาจทำให้น้ำหนักขึ้นแบบไม่รู้ตัว ซึ่งหากใครที่อยากดูแลหุ่นแบบจริงจัง ก็แนะนำว่าให้ทานกรีกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ เนื่องจากจะมีโปรตีนสูงกว่าและมีน้ำตาลไม่มากนัก และเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะ


กินโยเกิร์ตกินตอนไหนดี ได้ประโยชน์สูงสุด?

กินโยเกิร์ตกินตอนไหนดี-ได้ประโยชน์สูงสุด

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะกินโยเกิร์ตตอนไหนก็ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น แต่การเลือกกินในแต่ละช่วงเวลา ก็จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าการกินโยเกิร์ตในแต่ละช่วงเวลา จะให้ประโยชน์หรือผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปอย่างไรบ้าง

  • ตอนเช้า การกินโยเกิร์ตตอนเช้านั้นเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ของเราดูดซึมโยเกิร์ตได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงท้องว่าง ซึ่งการกินโยเกิร์ตตอนท้องว่างก็จะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ใครที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย แนะนำว่าให้เลือกกินตอนเช้าได้เลย
  • ตอนกลางวัน หากใครอยากหาตัวช่วยปรับสมดุลลำไส้ ก็สามารถกินโยเกิร์ตตอนกลางวันได้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ควรเลือกกินเป็นมื้อหลัก เนื่องจากในโยเกิร์ตมีสารอาหารไม่เพียงพอต่อการทำกิจกรรมระหว่างวัน ซึ่งจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตก็จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานเบาลงนั่นเอง
  • ตอนเย็น ใครที่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหาร ก็สามารถเลือกกินโยเกิร์ตตอนเย็นได้ด้วยเช่นกัน เพราะการกินโยเกิร์ตหลังมื้อเย็นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ สามารถช่วยลดปัญหาท้องผูกได้ดี
  • ก่อนนอน การกินมื้อดึกหรือมื้อก่อนนอนนั้นหากไม่ได้หิวมากก็ไม่ควรกิน เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคกรดไหลย้อน ฮอร์โมนหลั่งผิดปกติ หรืออาการนอนไม่หลับ แต่หากใครที่หิว โยเกิร์ตก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะมีแคลอรีไม่สูงและย่อยง่าย

เห็นโยเกิร์ตมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ อย่าลืมซื้อโยเกิร์ตมาเก็บไว้ในตู้เย็นด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากอยากมีหุ่นสวยสุขภาพดีด้วยแล้วก็ควรจะออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วน รวมไปถึงการเลือกทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติหรือกรีกโยเกิร์ตที่มีโปรตีนสูง ก็จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีได้ไม่ยากอย่างแน่นอน 

แต่นอกจากจะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว อย่าลืมมองหาตัวช่วยดูแลสุขภาพอีกแรงด้วยการเลือกทำประกันสุขภาพออนไลน์กับ Sunday ที่มีแผนประกันที่เหมาะกับความเสี่ยงของแต่ละคน ไม่ว่าจะมองหาประกันสุขภาพที่เหมาะกับตัวคุณเองหรือคนที่คุณรัก Sunday ก็มีให้คุณเลือกตามความเหมาะสม เพราะเราไม่อาจทราบได้เลยว่าปัญหาสุขภาพจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ ดังนั้น ทำประกันสุขภาพออนไลน์ไว้ อุ่นใจกว่าแน่นอน

ซื้อประกันสุขภาพเหมาจ่าย

Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

รู้จักไวรัส RSV โรคทางเดินหายใจในเด็ก อันตรายถึงชีวิต

โรค RSV คืออะไร สังเกตอาการได้อย่างไรบ้าง? ในช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ อย่างช่วงปลายฝนต้นหนาว…

นอนเยอะแต่เหมือนนอนไม่พอ คุณอาจจะเป็นโรคนอนเกิน!

นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ อาจเป็นโรคนอนเกินได้นะ! มีใครเคยเป็นบ้าง นอนเต็ม 8 ชั่วโมงก็แล้ว 12 ชั่วโมงก็แล้ว…
oversleeping-symptoms-feeling-tired-despite-sleeping-a-lot
0
Share