เบาหวานมีอาการเริ่มต้นอย่างไร แบบไหนควรไปพบแพทย์?
ในปัจจุบันนี้ เบาหวาน คือ หนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้มากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจากสถิติพบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานเฉลี่ยอยู่ที่ 6.5 ล้านคน โดยมีอัตราผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นสูงถึง 300,000 – 500,000 รายต่อปี
อย่างไรก็ดี เบาหวานมักมีอาการเริ่มต้นที่ไม่ชัดเจนในระยะแรก จึงทำให้กว่าผู้ป่วยจะทราบว่าตนเองเป็นเบาหวานก็มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือ ไตวาย ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคเรื้อรังอย่างเบาหวานโดยไม่ทันรู้ตัว ลองมาเช็กอาการเบาหวานเบื้องต้น พร้อมวิธีสังเกตความผิดปกติของร่างกายที่เข้าข่ายการเป็นเบาหวาน และต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที

เบาหวานคืออะไร?
เบาหวานเกิดจากภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องจากการที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ หรือ ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินตามปกติ
โดย “อินซูลิน” เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่หากกระบวนการผลิต หรือ การทำงานของอินซูลินมีความผิดปกติเกิดขึ้น จะทำให้น้ำตาลสะสมอยู่ในกระแสเลือดและสร้างความเสียหายต่อระบบต่างๆ ในร่างกายได้
เช่น ทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาท เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด แผลหายยาก หรือ เกิดภาวะที่น้ำตาลเข้าไปทำลายหลอดเลือดในจอประสาทตา จนทำให้ภาวะที่เรียกว่า “เบาหวานขึ้นตา”
โดยจากข้อมูลจากกรมควบคุมโรคชี้ว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปมากกว่า 5 ล้านคนเป็นโรคเบาหวาน และเกือบครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตนเองป่วย จึงทำให้เสียโอกาสในการรักษาและป้องกันโรคร้ายแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา ซึ่งเป็นสาเหตุการตาบอดอันดับต้นๆ ในประเทศเลยทีเดียว
เบาหวานต้องระดับน้ำตาลเท่าไหร่?
องค์การอนามัยโลก และสมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน ได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยโรคเบาหวานจากระดับน้ำตาลในเลือด ดังนี้
- ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (FPG) มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มก./ดล.
- ระดับน้ำตาล 2 ชั่วโมงหลังดื่มกลูโคส มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล.
- ค่าฮีโมโกลบิน เอวันซี (HbA1c) หรือ ค่าระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา มีปริมาณมากกว่าหรือเท่ากับ 6.5%
เบาหวานมีกี่ประเภท แบบไหนอันตราย?
1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)
เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ทำให้ต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต ส่วนใหญ่มักพบในเด็กและวัยรุ่น
2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับการผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ สัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยง เช่น พฤติกรรมการกินอาหารหวานจัด ออกกำลังกายน้อย น้ำหนักเกิน หรือพันธุกรรม เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
เกิดขึ้นชั่วคราวในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนจากรกต้านฤทธิ์อินซูลิน หากไม่ควบคุม อาจส่งผลต่อสุขภาพแม่และทารก
4. เบาหวานจากสาเหตุอื่น
เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ การใช้ยาสเตียรอยด์บางชนิด โรคต่อมไร้ท่อบางชนิด พันธุกรรม หรือ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ภาวะอ้วนลงพุง ความเครียดสะสม การขาดการออกกำลังกาย รวมถึงอายุที่มากขึ้น
เบาหวานมีอาการเบื้องต้นอย่างไร สังเกตได้หรือไม่?
ในระยะเริ่มต้น เบาหวานจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้
- ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก เนื่องจากร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางไต
- หิวน้ำบ่อย เพราะการขับปัสสาวะมากทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้รับประทานอาหารตามปกติ ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เนื่องจากเซลล์ขาดพลังงานจากน้ำตาลกลูโคส
- สายตาพร่า หรือ เบาหวานขึ้นตา เนื่องจากระดับน้ำตาลสูงส่งผลต่อเลนส์ตาและหลอดเลือดจอประสาทตา
- แผลหายช้า เนื่องจากการไหลเวียนเลือดไม่ดีและภูมิคุ้มกันลดลง
- ติดเชื้อบ่อย โดยเฉพาะการติดเชื้อผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ
หากพบความผิดปกติเหล่านี้ แนะนำให้รีบเข้าไปปรึกษาแพทย์ในทันที ทั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจความผิดปกติในร่างกายตั้งแต่เนิ่นๆ โดยในเบื้องต้น แพทย์อาจลงความเห็นให้มีการตรวจเลือดเพื่อเช็กระดับน้ำตาล รวมถึงความผิดปกติอื่นๆ

เบาหวานรักษาหายได้หรือไม่ มีวิธีป้องกันโรคเบาหวานอย่างไร?
ในปัจจุบันนี้ เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถควบคุมเบาหวานให้อยู่ในภาวะสงบ (Remission) ได้ด้วยการควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิตและอาหารการกินอย่างเคร่งครัด
ในทางเดียวกัน สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว การป้องกันโรคเบาหวานสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน โดยเบื้องต้นสามารถทำได้ ดังนี้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ดัชนีมวลกาย (BMI) 18.5–22.9
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และคาร์โบไฮเดรตขัดสี เพิ่มผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรคาร์ดิโออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- หากิจกรรมคลายเครียด เพื่อรักษาสมดุลสุขภาพกายและใจ
- เลิกสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น อ้วน มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน โดยการป้องกันและตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคหัวใจ และโรคไตเรื้อรังได้
เพียงเท่านี้ก็รู้เท่าทันความเสี่ยงของเบาหวาน เข้าใจถึงอันตราย ตลอดจนรู้จักวิธีการสังเกตอาการเบาหวานเบื้องต้นแล้ว
อย่างไรก็ดี การป้องกันและตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคหัวใจ และโรคไตเรื้อรัง ตลอดจนสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาวได้
รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมการรับประทานอาหาร รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานด้วยนะ
รู้เท่าทันอาการเบาหวานตั้งแต่ระยะแรกถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการวางแผนความคุ้มครองสุขภาพของคุณ ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปัจจัยหลักที่มีผลต่อค่าเบี้ยประกันสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมทั้งด้านสุขภาพและการเงินไปพร้อมกัน

อ้างอิง: Hfocus