หน้าหลัก สาระสุขภาพ 3 โรคหน้าฝนสุดอันตราย อาการหนักถ้าไม่รีบรักษา

3 โรคหน้าฝนสุดอันตราย อาการหนักถ้าไม่รีบรักษา

3 อันดับโรคหน้าฝน

เมื่อพูดถึงหน้าฝน นอกจากบรรยากาศชื้นแสนอึดอัด การจราจรติดขัดหนัก และความเสี่ยงน้ำท่วมสูงแล้ว “โรคหน้าฝน” ก็เป็นอีกหนึ่งความกังวลที่ไม่ควรมองข้าม เพราะแม้การป่วยหน้าฝนจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษา โรคหน้าฝนบางโรคอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เสี่ยงทั้งชีวิตและค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว

แล้วในบรรดาการเจ็บป่วยหน้าฝนที่เกิดขึ้น มีโรคหน้าฝนอะไรบ้างที่เสี่ยงและเป็นอันตรายเป็นพิเศษ มาหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้เลย

ป่วยหน้าฝน อันตรายแค่ไหน?

ทำไมเราป่วยหน้าฝนง่ายกว่าฤดูอื่นๆ

“ความชื้น” คือ หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่วยหน้าฝนได้ง่ายกว่าฤดูอื่นๆ โดยความชื้นถือเป็นปัจจัยหลักที่เร่งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา

นอกจากนี้ ในสภาวะอากาศที่ชื้นช่วงหน้าฝนยังทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดทั่วไปลอยตัวและอาศัยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น ส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายตัวของเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลายๆ คนติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และโรคทางเดินอากาศได้ง่ายในช่วงฤดูฝนนั่นเอง

ที่สำคัญ งานวิจัยจาก National Institute of Health ยังระบุว่า “ความชื้นสัมพัทธ์ระดับ 50–80% ในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้ไวรัสกลุ่ม Influenza หรือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีความเสถียรและแพร่กระจายได้มากขึ้น”

นอกจากนี้ น้ำขังตามจุดต่างๆ ในช่วงหน้าฝนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายนำไปสู่การระบาดของไข้เลือดออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคหน้าฝนที่เป็นอันตรายต่อเด็กและผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก

มากไปกว่านั้น อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในช่วงหน้าฝนยังส่งผลต่อระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันด้วย โดยมีการศึกษาพบว่า เมื่อร่างกายต้องเผชิญกับอากาศเย็นและความเปียกชื้นอยู่บ่อยๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานช้าลง ส่งผลให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายและเจ็บป่วยหน้าฝนได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

โรคหน้าฝนสุดอันตราย ประกันสุขภาพจ่ายหรือไม่?
ประกันโรคร้านแรง เจอ จ่าย จริง

3 โรคหน้าฝนสุดอันตราย มีอาการอย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพูดถึงการเจ็บป่วยหน้าฝน หลายๆ คนมักนึกถึงโรคระบบทางเดินอากาศอย่างไข้หวัด โควิด รวมไปถึงอาการเจ็บคอต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมี 3 อันดับโรคหน้าฝนสุดอันตรายที่ต้องเฝ้าระวังให้ดีเช่นกัน

1. ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ และแพร่ผ่านยุงลายเป็นหลัก โดยเฉพาะยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ที่วางไข่ในน้ำขัง เช่น แจกัน ถังน้ำ หรือ จานรองกระถางต้นไม้ 

จากรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปี 2566 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกมากกว่า 60,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง กว่า 60 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 5–14 ปี แต่แนวโน้มของผู้ใหญ่ที่ป่วยรุนแรงมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร?

  • ไข้สูงเฉียบพลัน 39–40°C แต่ไม่มีอาการเจ็บคอ
  • ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อและข้ออย่างรุนแรง
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกตามไรฟัน
  • อาจเกิดภาวะ Dengue Shock Syndrome (DSS) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต

สิ่งสำคัญ คือ ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง การรักษาเป็นแบบประคับประคอง และหากเข้าสู่ระยะช็อก (shock phase) จะมีความเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิต 

ดังนั้น หากรู้สึกมีความผิดปกติ หรือ มีอาการที่เกี่ยวกับไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาการไข้ที่รับประทานยาลดไข้แล้วไม่ได้ผล ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในทันที


ช่วงหน้าฝนไม่ใช่แค่ไข้หวัดหรือไข้เลือดออกที่ต้องระวัง แต่ยังมีโรคที่มากับน้ำท่วมซึ่งเป็นภัยเงียบอีกด้วย – ดูโรคจากน้ำท่วมที่ต้องรู้

2. ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างชัดเจน เนื่องจากมีความรุนแรงมากกว่า และสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วภายในชุมชน โรงเรียน หรือที่ทำงาน โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่มีความชื้นสูงและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย

ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีทั้งหมด 3 ชนิดหลัก คือ สายพันธุ์ A B และ C โดยสายพันธุ์ A และ B มักเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ในแต่ละปี โดยไวรัสเหล่านี้สามารถกลายพันธุ์ (antigenic drift) ได้ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันถาวรได้ จึงมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่ทุกปี

ไข้หวัดใหญ่มีอาการอย่างไร?

  • ไข้สูงเฉียบพลัน 38.5°C ขึ้นไป
  • ปวดเมื่อยตัวรุนแรง
  • เจ็บคอ ไอแห้ง หายใจเร็ว
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายจนไม่สามารถทำงานประจำวันได้

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อาจเกิด ภาวะปอดอักเสบจากไวรัส หรือ แบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก ผู้สูงวัย หรือ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้

จากสถิติโลกจาก WHO ระบุว่า ไข้หวัดใหญ่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากกว่า 290,000–650,000 รายทั่วโลกต่อปี โดยในไทยกรมควบคุมโรคพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เฉลี่ยปีละกว่า 100,000 ราย และแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน–กันยายนของทุกปี

ด้วยเหตุนี้ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้


เด็กเล็กถือเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าฝน หากบ้านไหนมีลูกเล็ก อย่าลืมอ่าน โรคหน้าฝนในเด็กที่พบบ่อย เพื่อวางแผนดูแลให้ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ

โรคหน้าฝนในเด็กที่พบบ่อย

3. ปอดบวม

ปอดบวม (Pneumonia) หรือ ภาวะถุงลมอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราในเนื้อปอด ทำให้เกิดการอักเสบ มีหนอง และอาจส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลวได้ โดยมักพบหลังจากผู้ป่วยเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ

โดยจากข้อมูลจาก Mayo Clinic ระบุว่า ปอดบวมในผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการรักษาอาจมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30% เลยทีเดียว

ปอดบวมมีอาการอย่างไร?

  • ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
  • ไอมีเสมหะ เหนียว สีเหลืองหรือเขียว
  • หายใจลำบาก หายใจถี่ เจ็บหน้าอกเวลาไอ
  • ในผู้สูงอายุอาจไม่มีไข้ แต่จะพบอาการสับสน หัวใจเต้นเร็ว หรือความดันต่ำ

ในปัจจุบันนี้ การวินิจฉัยปอดบวมต้องอาศัยการเอกซเรย์ปอด และตรวจเสมหะเพื่อระบุชนิดของเชื้อโรค และจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับเชื้อจึงจะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในหน้าฝนที่มีโอกาสติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น ผู้ที่มีอาการไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่นานเกิน 5 วันร่วมกับอาการไอ เจ็บหน้าอก ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมทันที


ปอดบวมหากปล่อยไว้ อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังได้ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคปอดและการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง


ป่วยหน้าฝน ประกันสุขภาพช่วยได้แค่ไหน?

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่คนวัยทำงานควรเตรียมรับมือในช่วงหน้าฝน คือ “ค่ารักษาพยาบาล” แม้โรคหน้าฝนส่วนใหญ่จะไม่ได้รุนแรงมากหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ในบางกรณี การเจ็บป่วยธรรมดาช่วงหน้าฝนก็อาจลุกลามหนักและมีภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น

สำหรับใครที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว อย่าลืมตรวจสอบ 2 ความคุ้มครองสำคัญ ดังนี้

ประกัน opd ราคา

1. ความคุ้มครองแบบ IPD (ผู้ป่วยใน)

หากต้องนอนโรงพยาบาลเนื่องจากไข้เลือดออกขั้นรุนแรง หรือปอดบวมที่มีภาวะแทรกซ้อน ประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครอง IPD จะครอบคลุมค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ ค่าตรวจวินิจฉัยต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวที่โรงพยาบาล

2. ความคุ้มครองแบบ OPD (ผู้ป่วยนอก)

หากเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือ ไข้เลือดออกในระยะเริ่มต้นที่สามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ประกันสุขภาพที่มีวงเงิน OPD จะครอบคลุมค่ายาและค่าพบแพทย์ตามวงเงินต่อครั้ง ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย

ในช่วงฤดูฝนที่อากาศชื้นสูงแบบนี้ โรคต่างๆ จึงแพร่กระจายได้ง่าย และมีแนวโน้มพัฒนาเป็นโรคร้ายแรงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่, และ ปอดบวมที่ไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพ เสี่ยงถึงชีวิต แต่ยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงมาก หากเกิดภาวะแทรกซ้อน

หาก “คุณ” เป็นอีกคนที่กำลังมองหาประกันสุขภาพให้อุ่นใจในช่วงโรคหน้าฝนระบาด ซันเดย์มาพร้อมกับประกันสุขภาพเหมาจ่ายดีๆ ที่คุณเลือกได้ มีทั้งแบบประกันสุขภาพ IPD อย่างเดียว และ ประกันสุขภาพ IPD ที่มีวงเงิน OPD ให้เลือกในเบี้ยเริ่มต้นเบาๆ ไม่ถึง 20,000 บาท

เช็กเบี้ยประกันสุขภาพซันเดย์ที่เหมาะกับตัวคุณเองได้ง่ายๆ ใช้แค่ “วันเดือนปีเกิด” เท่านั้น เช็กเองได้เลยที่เว็บไซต์ easysunday.com


ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่กำลังวางแผนคุ้มครองลูกในหน้าฝนนี้ ลองดู วิธีซื้อประกันสุขภาพเด็กที่พ่อแม่ใช้ร่วมได้ เพื่อความคุ้มค่าและอุ่นใจยิ่งขึ้น

axa smartcare essential
Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ฝุ่น PM 2.5 กลับมาทุกหน้าหนาว จะมีวิธีป้องกันดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัวอย่างไร?

ฝุ่น PM 2.5 คือ อนุภาคขนาดจิ๋วที่อันตรายกว่าแค่ฝุ่นละอองทั่วไป เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร…
ฝุ่น pm 2.5

“ท้องเสีย” โรคประจำหน้าร้อน ไม่รีบรักษาอาจเสี่ยงถึงชีวิต

“ท้องเสีย” โรคหน้าร้อนเสี่ยงถึงชีวิต แต่หลายคนไม่ทันระวัง! ฤดูร้อนของประเทศไทยไม่ได้มีแค่อากาศที่ร้อนจัด…
0
Share