เมื่อพูดถึงหน้าฝน นอกจากบรรยากาศชื้นแสนอึดอัด การจราจรติดขัดหนัก และความเสี่ยงน้ำท่วมสูงแล้ว “โรคหน้าฝน” ก็เป็นอีกหนึ่งความกังวลที่ไม่ควรมองข้าม เพราะแม้การป่วยหน้าฝนจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษา โรคหน้าฝนบางโรคอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เสี่ยงทั้งชีวิตและค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว
แล้วในบรรดาการเจ็บป่วยหน้าฝนที่เกิดขึ้น มีโรคหน้าฝนอะไรบ้างที่เสี่ยงและเป็นอันตรายเป็นพิเศษ มาหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้เลย

ทำไมเราป่วยหน้าฝนง่ายกว่าฤดูอื่นๆ
“ความชื้น” คือ หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่วยหน้าฝนได้ง่ายกว่าฤดูอื่นๆ โดยความชื้นถือเป็นปัจจัยหลักที่เร่งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา
นอกจากนี้ ในสภาวะอากาศที่ชื้นช่วงหน้าฝนยังทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดทั่วไปลอยตัวและอาศัยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น ส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายตัวของเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลายๆ คนติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และโรคทางเดินอากาศได้ง่ายในช่วงฤดูฝนนั่นเอง
ที่สำคัญ งานวิจัยจาก National Institute of Health ยังระบุว่า “ความชื้นสัมพัทธ์ระดับ 50–80% ในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้ไวรัสกลุ่ม Influenza หรือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีความเสถียรและแพร่กระจายได้มากขึ้น”
นอกจากนี้ น้ำขังตามจุดต่างๆ ในช่วงหน้าฝนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายนำไปสู่การระบาดของไข้เลือดออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคหน้าฝนที่เป็นอันตรายต่อเด็กและผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก
มากไปกว่านั้น อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในช่วงหน้าฝนยังส่งผลต่อระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันด้วย โดยมีการศึกษาพบว่า เมื่อร่างกายต้องเผชิญกับอากาศเย็นและความเปียกชื้นอยู่บ่อยๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานช้าลง ส่งผลให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายและเจ็บป่วยหน้าฝนได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน


3 โรคหน้าฝนสุดอันตราย มีอาการอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพูดถึงการเจ็บป่วยหน้าฝน หลายๆ คนมักนึกถึงโรคระบบทางเดินอากาศอย่างไข้หวัด โควิด รวมไปถึงอาการเจ็บคอต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมี 3 อันดับโรคหน้าฝนสุดอันตรายที่ต้องเฝ้าระวังให้ดีเช่นกัน
1. ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ และแพร่ผ่านยุงลายเป็นหลัก โดยเฉพาะยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ที่วางไข่ในน้ำขัง เช่น แจกัน ถังน้ำ หรือ จานรองกระถางต้นไม้
จากรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปี 2566 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกมากกว่า 60,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง กว่า 60 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 5–14 ปี แต่แนวโน้มของผู้ใหญ่ที่ป่วยรุนแรงมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร?
- ไข้สูงเฉียบพลัน 39–40°C แต่ไม่มีอาการเจ็บคอ
- ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อและข้ออย่างรุนแรง
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกตามไรฟัน
- อาจเกิดภาวะ Dengue Shock Syndrome (DSS) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
สิ่งสำคัญ คือ ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง การรักษาเป็นแบบประคับประคอง และหากเข้าสู่ระยะช็อก (shock phase) จะมีความเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิต
ดังนั้น หากรู้สึกมีความผิดปกติ หรือ มีอาการที่เกี่ยวกับไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาการไข้ที่รับประทานยาลดไข้แล้วไม่ได้ผล ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในทันที
ช่วงหน้าฝนไม่ใช่แค่ไข้หวัดหรือไข้เลือดออกที่ต้องระวัง แต่ยังมีโรคที่มากับน้ำท่วมซึ่งเป็นภัยเงียบอีกด้วย – ดูโรคจากน้ำท่วมที่ต้องรู้

2. ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างชัดเจน เนื่องจากมีความรุนแรงมากกว่า และสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วภายในชุมชน โรงเรียน หรือที่ทำงาน โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่มีความชื้นสูงและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย
ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีทั้งหมด 3 ชนิดหลัก คือ สายพันธุ์ A B และ C โดยสายพันธุ์ A และ B มักเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ในแต่ละปี โดยไวรัสเหล่านี้สามารถกลายพันธุ์ (antigenic drift) ได้ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันถาวรได้ จึงมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่ทุกปี
ไข้หวัดใหญ่มีอาการอย่างไร?
- ไข้สูงเฉียบพลัน 38.5°C ขึ้นไป
- ปวดเมื่อยตัวรุนแรง
- เจ็บคอ ไอแห้ง หายใจเร็ว
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายจนไม่สามารถทำงานประจำวันได้
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อาจเกิด ภาวะปอดอักเสบจากไวรัส หรือ แบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก ผู้สูงวัย หรือ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้
จากสถิติโลกจาก WHO ระบุว่า ไข้หวัดใหญ่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากกว่า 290,000–650,000 รายทั่วโลกต่อปี โดยในไทยกรมควบคุมโรคพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เฉลี่ยปีละกว่า 100,000 ราย และแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน–กันยายนของทุกปี
ด้วยเหตุนี้ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้
เด็กเล็กถือเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าฝน หากบ้านไหนมีลูกเล็ก อย่าลืมอ่าน โรคหน้าฝนในเด็กที่พบบ่อย เพื่อวางแผนดูแลให้ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ

3. ปอดบวม
ปอดบวม (Pneumonia) หรือ ภาวะถุงลมอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราในเนื้อปอด ทำให้เกิดการอักเสบ มีหนอง และอาจส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลวได้ โดยมักพบหลังจากผู้ป่วยเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
โดยจากข้อมูลจาก Mayo Clinic ระบุว่า ปอดบวมในผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการรักษาอาจมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30% เลยทีเดียว
ปอดบวมมีอาการอย่างไร?
- ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- ไอมีเสมหะ เหนียว สีเหลืองหรือเขียว
- หายใจลำบาก หายใจถี่ เจ็บหน้าอกเวลาไอ
- ในผู้สูงอายุอาจไม่มีไข้ แต่จะพบอาการสับสน หัวใจเต้นเร็ว หรือความดันต่ำ
ในปัจจุบันนี้ การวินิจฉัยปอดบวมต้องอาศัยการเอกซเรย์ปอด และตรวจเสมหะเพื่อระบุชนิดของเชื้อโรค และจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับเชื้อจึงจะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในหน้าฝนที่มีโอกาสติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น ผู้ที่มีอาการไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่นานเกิน 5 วันร่วมกับอาการไอ เจ็บหน้าอก ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมทันที
ปอดบวมหากปล่อยไว้ อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังได้ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคปอดและการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

ป่วยหน้าฝน ประกันสุขภาพช่วยได้แค่ไหน?
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่คนวัยทำงานควรเตรียมรับมือในช่วงหน้าฝน คือ “ค่ารักษาพยาบาล” แม้โรคหน้าฝนส่วนใหญ่จะไม่ได้รุนแรงมากหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ในบางกรณี การเจ็บป่วยธรรมดาช่วงหน้าฝนก็อาจลุกลามหนักและมีภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น
สำหรับใครที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว อย่าลืมตรวจสอบ 2 ความคุ้มครองสำคัญ ดังนี้

1. ความคุ้มครองแบบ IPD (ผู้ป่วยใน)
หากต้องนอนโรงพยาบาลเนื่องจากไข้เลือดออกขั้นรุนแรง หรือปอดบวมที่มีภาวะแทรกซ้อน ประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครอง IPD จะครอบคลุมค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ ค่าตรวจวินิจฉัยต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวที่โรงพยาบาล
2. ความคุ้มครองแบบ OPD (ผู้ป่วยนอก)
หากเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือ ไข้เลือดออกในระยะเริ่มต้นที่สามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ประกันสุขภาพที่มีวงเงิน OPD จะครอบคลุมค่ายาและค่าพบแพทย์ตามวงเงินต่อครั้ง ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย
ในช่วงฤดูฝนที่อากาศชื้นสูงแบบนี้ โรคต่างๆ จึงแพร่กระจายได้ง่าย และมีแนวโน้มพัฒนาเป็นโรคร้ายแรงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่, และ ปอดบวมที่ไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพ เสี่ยงถึงชีวิต แต่ยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงมาก หากเกิดภาวะแทรกซ้อน
หาก “คุณ” เป็นอีกคนที่กำลังมองหาประกันสุขภาพให้อุ่นใจในช่วงโรคหน้าฝนระบาด ซันเดย์มาพร้อมกับประกันสุขภาพเหมาจ่ายดีๆ ที่คุณเลือกได้ มีทั้งแบบประกันสุขภาพ IPD อย่างเดียว และ ประกันสุขภาพ IPD ที่มีวงเงิน OPD ให้เลือกในเบี้ยเริ่มต้นเบาๆ ไม่ถึง 20,000 บาท
เช็กเบี้ยประกันสุขภาพซันเดย์ที่เหมาะกับตัวคุณเองได้ง่ายๆ ใช้แค่ “วันเดือนปีเกิด” เท่านั้น เช็กเองได้เลยที่เว็บไซต์ easysunday.com
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่กำลังวางแผนคุ้มครองลูกในหน้าฝนนี้ ลองดู วิธีซื้อประกันสุขภาพเด็กที่พ่อแม่ใช้ร่วมได้ เพื่อความคุ้มค่าและอุ่นใจยิ่งขึ้น
