เมื่อใช้โทรศัพท์มือถือไปสักพัก หลาย ๆ คนมักพบเข้ากับอาการโทรศัพท์แบตเสื่อม ส่วนมากจะสังเกตได้จากเวลาที่ชาร์จไฟเข้าไปแล้วแต่กลับใช้งานได้ไม่นานเท่าเดิม มีอาการแบตหมดเร็วขึ้น หรือบางคนอาจพบเจอกับปัญหาแบตมือถือบวม เครื่องร้อน และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย
สำหรับใครที่สงสัยว่าแบตมือถือบวมเกิดจากสาเหตุอะไร ควรเปลี่ยนแบตโทรศัพท์หรือซื้อมือถือเครื่องใหม่ โทรศัพท์แบตเสื่อมเกิดจากอะไรและจะมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย
แบตโทรศัพท์เสื่อมเกิดจากอะไร?
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าแบตเตอรี่ทุกชนิดมีอายุการใช้งานอยู่แล้ว หากใช้ไปสักพัก แบตเตอรี่ก็จะเริ่มเก็บประจุไฟฟ้าไม่ค่อยอยู่ ส่งผลให้แบตเตอรี่หมดไวมากขึ้น หรือ ชาร์จได้ช้าลงนั่นเอง
สำหรับแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ จะเป็นแบตเตอรี่ประเภทลิเธียมไอออน ที่มักจะมีการเสื่อมสภาพทุก ๆ การชาร์จ 400 รอบชาร์จ ซึ่งจะทำให้ความจุลดลงประมาณ 20% นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตมือถืออีก เช่น
- แบตเตอรี่เสื่อมสภาพตามเวลา เมื่อใช้งานไปสักพัก สารเคมีที่อยู่ในแบตเตอรี่จะสามารถกักเก็บประจุไฟฟ้าได้น้อยลง ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของแบตเตอรี่ทุกประเภท
- การชาร์จไฟด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือ เป็นอุปกรณ์จ่ายไฟที่ไม่เหมาะสมกับแบตเตอรี่ เช่น การใช้สายชาร์จหรือหัวชาร์จที่ไม่ใช่ของแท้ ไม่ตรงกับยี่ห้อโทรศัพท์ เพราะของแท้จะถูกสร้างมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด ทั้งยังช่วยถนอมแบตและยืดอายุการใช้งานได้ดี
- ปล่อยให้แบตหมดเกลี้ยงบ่อย ๆ ส่งผลให้การเก็บประจุไฟฟ้าของแบตเตอรี่ทำงานได้แย่ลง โดยเฉพาะแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ที่ใช้อย่างแพร่หลายสำหรับโทรศัพท์มือถือ
- ชาร์จแบตโทรศัพท์เอาไว้ข้ามคืน
- ใช้โทรศัพท์กลางแดดร้อน หรือไม่หยุดใช้เมื่อเครื่องร้อนจัด
- ใช้โทรศัพท์ขณะที่กำลังชาร์จเป็นประจำ
แบตมือถือบวมอันตรายไหม ควรทำอย่างไรดี?
อาการแบตมือถือบวม เป็นหนึ่งสัญญาณเตือนถึงความเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่โทรศัพท์ โดยอาการจะมีได้ตั้งแต่การที่เครื่องมือถือร้อนเร็วขึ้น ไปจนถึงอาการแบตหมดไวอย่างผิดสังเกต
การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่จะทำให้เกิดก๊าซภายในแบตเตอรี่ นานวันเข้าก๊าซต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะดันออกและทำให้เกิดอาการบวม หรือที่เรียกว่าแบตมือถือบวม ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่รีบนำไปซ่อมแซม อาจทำให้เกิดผลเสียตามมาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- แบตบวมไปเบียดหน้าจอ ทำให้เกิดความเสียหายบนหน้าจอหรือตัวเครื่อง
- ระบบสัมผัสหรือปุ่มต่าง ๆ ใช้งานไม่ได้ เพราะแบตไปดันแผงวงจรภายใน ทำให้เกิดปัญหาในการใช้งาน
- เพิ่มความเสี่ยงที่มือถือจะระเบิด โดยเฉพาะเมื่อยังคงใช้สายชาร์จและหัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน เสียบชาร์จทิ้งไว้นาน ๆ หรือชาร์จไปเล่นไป เนื่องจากความผิดปกติในการชาร์จและความร้อนเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า “Thermal Runaway” ซึ่งสังเกตได้จากอุณหภูมิของเครื่องที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
จะเห็นได้ว่า อาการแบตมือถือบวมสามารถเพิ่มความเสี่ยงให้กับทั้งการใช้งานและชีวิตของผู้ใช้ ทางที่ดี ถ้าสังเกตเห็นว่าแบตมือถือบวมแล้ว แนะนำว่าให้เปลี่ยนแบตมือถือใหม่ หรือ ลองดูราคาโทรศัพท์มือถือเครื่องก็ได้เช่นกัน
วิธีเช็กแบตมือถือเสื่อม
นอกจากอาการแบตเตอรี่บวมและแบตเตอรี่หมดเร็วแล้ว ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถตรวจสอบค่าการทำงานของแบตเตอรี่มือถือได้ ตามข้อสังเกตต่อไปนี้
- ตรวจสอบจากระบบของโทรศัพท์มือถือ สามารถเข้าไปดูได้ที่เมนู “ตั้งค่า” และกดเลือกเมนู “แบตเตอรี่” โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่มักจะบอกสุขภาพแบตเตอรี่เป็นเปอร์เซ็นต์
- เปอร์เซ็นต์เลขแบตมือถือขึ้นลงผิดปกติ เช่น ชาร์จนานแล้วแต่แบตเพิ่งขึ้นแค่ 10% แต่พอใช้แปปเดียว แบตกลับลดลงไป 20%
- เครื่องร้อนเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานหนักกว่าปกติ
ป้องกันโทรศัพท์แบตเสื่อมยังไงได้บ้าง?
รู้จักกับสาเหตุการเกิดแบตมือถือบวมไปแล้ว ถ้าไม่อยากพบเจอกับเหตุการณ์แบตระเบิดหรืออาการแบตเสื่อมเร็วกว่าที่ควร ขอแนะนำให้ใส่ใจกับการเลือกสายชาร์จและหัวชาร์จที่ได้มาตรฐาน รวมถึงข้อแนะนำอื่น ๆ ดังนี้
- ควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 30%-80% อยู่เสมอ เพราะเป็นช่วงการชาร์จที่ดีต่อการทำงานของแบตเตอรี่แบบลิเทียม
- ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% สักเดือนละครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์แบตเตอรี่
- ไม่ควรใช้เพาเวอร์แบงก์บ่อยเกินไป
- ปิดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้อยู่เสมอ ช่วยประหยัดการใช้พลังงานได้ ยืดอายุแบตได้
- ถอดเคสมือถือออกขณะชาร์จแบต ช่วยทำให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ทำให้ยืดอายุการใช้งานแบตมือถือได้
- พยายามไม่ใช้โทรศัพท์มือถือเมื่อมีอากาศร้อนจัด หรืออยู่กลางแจ้ง เพราะความร้อนจากภายนอกจะทำให้การทำงานของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนมีประสิทธิภาพลดลง
- ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะชาร์จแบต
เปลี่ยนแบตหรือซื้อเครื่องใหม่คุ้มกว่ากัน?
เปลี่ยนแบตเตอรี่คุ้มไหม?
เมื่อแบตมือถือเสื่อม เชื่อว่าคนส่วนมากมักจะมองหาตัวเลือกการเปลี่ยนแบตมือถือกันมากกว่าที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า
สำหรับโทรศัพท์ระบบ iOS ราคาแบตเตอรี่เบื้องต้นจะอยู่ที่ตั้งแต่ 2,500 บาทขึ้นไป ส่วนโทรศัพท์มือถือระบบ Android จะมีราคาตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป ขึ้นกับยี่ห้อและรุ่น แต่นอกจากจะพิจารณาถึงราคาแล้ว ขอแนะนำให้เลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่กับร้านที่ไว้ใจได้ มั่นใจว่าใช้แบตเตอรี่ของแท้ หรือเลือกเปลี่ยนกับศูนย์ไปเลยจะดีที่สุด
เปลี่ยนมือถือใหม่ดีกว่าหรือเปล่า?
หากใครที่กำลังชั่งใจว่าจะซื้อโทรศัพท์ใหม่เลยดีไหม แต่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มพิจารณาที่ส่วนไหน ลองมาพิจารณาตามเช็กลิสต์ ดังนี้
- รุ่นของระบบปฏิบัติการ หากโทรศัพท์เครื่องที่ใช้อยู่มีอายุเยอะแล้ว และอาจจะไม่ได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการในเร็ว ๆ นี้ การเลือกซื้อโทรศัพท์ใหม่ถือว่าคุ้มค่ากว่า เพราะสามารถใช้งานต่อได้อีกนาน อีกทั้งโทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ ยังมาพร้อมกับระบบการชาร์จที่ช่วยถนอมแบตอีกด้วย
- การใช้งานจริง ถ้าหากมีการใช้งานโทรศัพท์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม การเลือกซื้อเครื่องใหม่อาจจะเหมาะกับการลงทุนมากกว่า เช่น ถ้าชอบเล่นเกม ปัจจุบันก็มีมือถือที่ถูกพัฒนามารองรับการเล่นเกมเป็นหลัก ทำให้มีแบตที่อึดขึ้น หน้าจอคมชัด ระบบเสียงดี ใช้ไปนาน ๆ ก็ไม่ต้องกลัวแบตเสื่อมเร็ว หรือถ้าเน้นใช้กล้อง ก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมกับการใช้งานได้มากขึ้น
- งบประมาณ ปัจจุบันนี้อะไหล่สำหรับโทรศัพท์รุ่นที่ออกมาเกิน 2-3 ปีแล้ว อาจจะมีราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากมีการเลิกผลิต หรือมีการผลิตน้อยลง การเลือกซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่อาจจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่มีค่าบำรุงรักษาที่น้อยกว่า ถือว่าเพิ่มเงินอีกสักหน่อย ก็ได้มือถือใหม่ที่ตรงใจแล้ว
หากมือถือที่มีปัญหาเรื่องแบตเสื่อมยังเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมและมีอะไหล่ของแท้ที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพงมาก การเปลี่ยนแบตก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์หากสไตล์การใช้งานยังเหมือนเดิม และยังไม่ต้องการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
รู้ไหมว่าแบตเตอรี่รถไฟฟ้าก็เสื่อมได้นะ!
เช่นเดียวกับแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถเสื่อมสภาพได้เช่นกัน สำหรับใครที่มีรถยนต์ไฟฟ้า EV แต่กังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะกับตัวรถยนต์หรืออุปกรณ์ชาร์จ อย่าลืมมองหาประกันรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้เพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้กับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
ซื้อประกันออนไลน์ ที่ Sunday ไม่เพียงแต่จะมีประกันสุขภาพและประกันรถยนต์ทั่วไปให้บริการเท่านั้น แต่คุณยังพร้อมรับความคุ้มครองในกรมธรรม์ที่คุณออกแบบได้ เมคเซนส์ทั้งความคุ้มครองและเบี้ยประกัน เช็กเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับคุณได้ง่าย ๆ กรอกแค่ ‘วันเดือนปีเกิดของผู้ขับขี่’ และ ‘รหัสไปรษณีย์ที่อยู่ปัจจุบัน’