หน้าหลัก สาระรถยนต์ไฟฟ้า BEV กับ PHEV เลือกซื้อรถยนต์แบบไหนดี?

BEV กับ PHEV เลือกซื้อรถยนต์แบบไหนดี?

BEV VS PHEV

อยากซื้อรถยนต์คันใหม่ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มมีการเปรียบเทียบระหว่างรถยนต์ 2 ประเภทที่ได้รับความนิยมอย่าง ‘รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)’ และ ‘รถยนต์แบบไฟฟ้าล้วนหรือ BEV (Battery Electric Vehicle)’

หากคุณเป็นอีกคนที่ยังลังเลอยู่ว่าจะซื้อรถยนต์แบบ BEV หรือ PHEV มากกว่ากัน มาดูทุกเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ BEV และ PHEV กัน

รถยนต์ WM Haval H6 PHEV จอดในสถานที่โชว์รถยนต์

รู้จักกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบชาร์จไฟได้ (PHEV)

รถ PHEV นอกจากจะเป็นที่รู้จักในชื่อรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบชาร์จได้แล้ว บางคนก็เรียกรถประเภทนี้ว่ารถ Plug In Hybrid เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่มีทั้งเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งส่วนมากจะมีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้งแบบใช้ไฟฟ้าล้วน ใช้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน รวมถึงระบบขับขี่ที่ใช้น้ำมันล้วนด้วย 

รถ PHEV ในไทยมีให้เห็นกันหลายรุ่นดัง เช่น Hyundai Ioniq PHEV, Honda Clarity PHEV, GWM Haval H6 PHEV ตลอดจนไปถึงรถยนต์ราคาสูงอย่าง Ferrari 296 GTB, BMW 745Le xDrive, Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro และอื่น ๆ อีกมากมาย

ข้อดีของรถรถปลั๊กอินไฮบริด

  • น้ำมันหมดก็ใช้ไฟฟ้าขับได้ แต่จะไม่เกิน 30-50 กิโลเมตร
  • วิ่งได้ไกลกว่ารถยนต์น้ำมันทั่วไป เพราะมีการใช้พลังงานจากทั้งน้ำมันและไฟฟ้า
  • ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพราะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาช่วยการขับเคลื่อนด้วย
  • ลดการปล่อยมลภาวะทางอากาศได้ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว
  • ชาร์จไฟแบตเตอรี่ได้
  • ราคาถูกกว่ารถ BEV หรือรถไฟฟ้า 100%
  • มีระบบเบรกที่ช่วยเปลี่ยนพลังงานให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

ข้อเสียของรถ PHEV

  • ยังมีการปล่อยไอเสียจากการขับขี่อยู่ เพราะมีเครื่องยนต์แบบสันดาปเป็นส่วนประกอบ
  • รถยนต์มีน้ำหนักมากกว่ารถน้ำมันทั่วไป เพราะมีมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ด้วย
  • หากใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนอย่างเดียว จะวิ่งได้แค่ระยะสั้น ๆ 
  • ส่วนมากจะมีที่เก็บสัมภาระค่อนข้างน้อย
  • ตัวเครื่องและระบบการทำงานมีความซับซ้อนกว่ารถยนต์ธรรมดา จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการบำรุงรักษา

รถ PHEV เหมาะกับใครบ้าง?

รถ PHEV เหมาะกับคนที่ต้องการประหยัดค่าน้ำมัน ตลอดจนผู้ที่ต้องการขับขี่ในเมืองที่รถติด เพราะตัวมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้ค่อนข้างมาก หากขับขี่ทางไกล ก็อุ่นใจว่าถ้าน้ำมันหมดหรือไฟฟ้าหมด ก็ใช้อีกระบบทดแทนกันได้ ถึงแม้ว่าราคาจะสูงกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงแล้วก็ถือว่าเป็นรถยนต์ทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน

รถยนต์ไฟฟ้า BEV กำลังชาร์จแบตอยู่ที่ตึกจอด

รู้จักกับ BEV Car

รถยนต์ BEV หรือรถยนต์แบบไฟฟ้า 100% เป็นทางเลือกใหม่ของคนในยุคนี้อย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นรถที่มีแค่มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำหน้าช่วยจ่ายพลังงานและทำการขับเคลื่อน ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้มีข้อดีอย่างเช่น สามารถช่วยลดการปล่อยควันเสียได้ 

รถ BEV ในไทยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีมีอยู่หลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น Tesla, MG, BYD, Ora และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้คนไทยมีตัวเลือกที่หลากหลายทั้งในด้านของราคารถยนต์ไฟฟ้า รูปแบบของรถยนต์ ตลอดจนไปถึงสมรรถนะอื่น ๆ ตามที่สนใจ

ข้อดีของรถยนต์ BEV 

  • ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ชาร์จไฟได้ ไม่เปลืองค่าน้ำมัน
  • ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงถูกกว่ารถที่ใช้น้ำมันค่อนข้างมาก
  • มีสมรรถนะในการขับขี่สูงและคงที่ เร่งเครื่องได้เร็ว
  • เครื่องเงียบ เสียงก่อกวนน้อย
  • มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่อัปเดตได้ตลอด ช่วยเรื่องการขับขี่และการใช้งานได้ดี
  • ได้รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐอย่างเช่นการลดหย่อนต่าง ๆ

ข้อเสียของรถยนต์ BEV

  • สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุม ทำให้ต้องวางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ
  • มีราคาสูงกว่ารถยนต์ประเภทอื่น ๆ
  • ชาร์จไฟใช้เวลาค่อนข้างนาน
  • มีระยะทางการวิ่งที่จำกัด ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่และประเภทการขับขี่
  • มีศูนย์ซ่อมค่อนข้างน้อย แต่ก็มีการเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

รถยนต์ BEV เหมาะกับใคร?

รถยนต์ไฟฟ้า 100% เหมาะกับคนที่ชื่นชอบความสะดวกสบายในการขับขี่ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามาพร้อมกับระบบที่ใช้งานได้ง่าย ไม่มีเกียร์ แต่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกเช่น โหมด ECO, โหมด Sport และอื่น ๆ 

นอกจากนี้ รถยนต์ BEV ยังเหมาะกับคนที่ต้องการประหยัดค่าน้ำมัน เพราะใช้ไฟฟ้าเต็ม ๆ ชาร์จไฟได้ ค่าชาร์จไฟถือว่าถูกกว่าการเติมน้ำมันมากเมื่อเทียบกับระยะทางการขับขี่ที่ได้ ใครที่มีงบประมาณพร้อม อยากประหยัดค่าเชื้อเพลิงในระยะยาว ก็สามารถเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ได้เช่นกัน


เลือกซื้อรถยนต์อย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง?

  • เลือกรถยนต์ให้เข้ากับการใช้งานจริงให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้รถยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น เลือกรถยนต์ไฟฟ้า 100% หากคุณเน้นขับขี่ภายในเมือง ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟบ่อย ๆ
  • ลองเปรียบเทียบราคารถยนต์ประเภทที่สนใจจากหลาย ๆ ยี่ห้อ เพื่อเลือกยี่ห้อและรุ่นที่ดีที่สุดในงบประมาณที่ตั้งไว้
  • แหล่งพลังงานที่ใช้กับค่าบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ค่าติดตั้งที่ชาร์จไฟ ค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ ค่าพลังงานที่ใช้ในแต่ละเดือน 
  • ตรวจสอบจำนวนศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐานสำหรับรถยนต์ประเภทที่ต้องการซื้อว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน เมื่อถึงเวลาต้องตรวจสภาพหรือทำการซ่อมแซม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการซ่อมแซมนาน
  • ตรวจสอบอะไหล่และอุปกรณ์ เพื่อเป็นการวางแผนซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายในระยะยาวด้วย

อย่าลืมเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งาน

นอกจากการเลือกรถยนต์รุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน งบประมาณและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว ก็อย่าลืมมองหาประกันรถยนต์ที่เหมาะกับการใช้งานด้วย เพราะถึงแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้บังคับให้ทำประกันเพิ่มเติม แต่การซื้อประกันไว้ก็ช่วยทำให้ผู้ขับขี่อุ่นใจได้หลายด้าน โดยเฉพาะการทำประกันรถยนต์ไฟฟ้าออนไลน์กับ Sunday ที่คุณสามารถเลือกแผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์กับการใช้งาน จ่ายค่าเบี้ยเท่าที่จำเป็น พร้อมบริการศูนย์ซ่อมในเครือทั่วไทย จบงานเคลมไวได้ภายใน 15 นาที ด้วยระบบ Live Streaming


เช็กเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าออนไลน์ ได้ง่าย ๆ กรอกแค่ ‘วันเดือนปีเกิดผู้ขับขี่’ และ ‘รหัสไปรษณีย์ที่อยู่ปัจจุบัน’


Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ต่อประกันรถ EV เจ้าไหน ก็ใช้ประวัติขับขี่คำนวณเบี้ยเหมือนกัน

ต่อประกันรถ EV เจ้าไหนก็เกณฑ์เดียวกัน ใช้ “ระดับพฤติกรรมการขับขี่” ร่วมคำนวณเบี้ยแล้ว! จากเกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์…

ราคารถไฟฟ้ามีแนวโน้มถูกลง ค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงไหม?

รถ EV มีแนวโน้มถูกลง ค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงด้วยไหม? นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย จะเห็นได้ว่า…

เหตุผลที่เบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป

ทำไมเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าถึงแพงกว่าประกันรถยนต์ทั่วไป? “ประกันรถยนต์ไฟฟ้าแพงไหม” เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายๆ…
why-ev-car-insurance-premium-more-expensive
0
Share