หน้าหลัก สาระสุขภาพ ประจำเดือนมาไม่ปกติ และติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

ประจำเดือนมาไม่ปกติ และติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

ประจำเดือนมาไม่ปกติ sunday care

อาการป่วยที่ผู้หญิงทุกคนต้องใส่ใจ และให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง

ในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปีถือเป็นช่วงเวลาแห่ง “วันสตรีสากล” (International Women’s Day) ที่ทั่วโลกต่างก็ให้ความสำคัญแก่ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมของสิทธิสตรี ไปจนถึงความเท่าเทียมทางเพศที่ทั่วโลกต่างก็ให้ความสำคัญ

ซันเดย์ ในฐานะขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิทธิสตรี ก็ย่อมเข้าใจและห่วงใยสุขภาพของผู้หญิงทุกคนเสมอ จึงเป็นที่มาของบทความในครั้งนี้ เราได้พูดคุยกับ “คุณหมอชัย” นพ. วิชัย อังคเศกวินัย เกี่ยวกับอาการ “ประจำเดือนมาไม่ปกติ” ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการป่วยที่ผู้หญิงทุกคนส่วนใหญ่ต้องเผชิญและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

เราหวังว่า บทความนี้จะช่วยให้ผู้หญิงทุกคน สามารถตรวจสอบความผิดปกติ รวมถึงดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างสดใสแข็งแรงตลอดไป

อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องหมั่นเช็กร่างกายตนเองเสมอ

โดยปกติแล้ว ในแต่ละเดือนร่างกายของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ จะมีฮอร์โมนจากสมองควบคุมกระบวนการเกิดประจำเดือน ทำให้มีการตกไข่รวมถึงมีการสร้างเนื้อเยื่อที่ผนังมดลูกให้หนาขึ้น แต่หากไข่ที่ตกไม่ได้รับการปฏิสนธิ เยื่อบุโพรงมดลูกที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้ก็จะหลุดลอกออก และไหลออกมาจากช่องคลอดในรูปของเลือดประจำเดือน โดยกระบวนการนี้ใช้รอบเวลาในการเกิดโดยเฉลี่ยประมาณทุกๆ 28 วัน (อาจมาก่อนหรือหลังเล็กน้อย)

แต่สำหรับอาการ “ประจำเดือนมาไม่ปกติ” นั้น คุณหมอได้ให้คำอธิบายคร่าวๆ เอาไว้ว่า เป็นรูปแบบของการที่ประจำเดือนในแต่รอบของร่างกายผู้หญิง มีรอบที่น้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน หรืออาจจะมีอาการที่เรียกได้ว่า ไม่มีประจำเดือนไปเลย (Miss period) รวมไปถึงการที่ร่างกาย มีการสร้างประจำเดือนออกมาผิดไปจากที่เคยเป็น เช่น มีเลือดประจำเดือนออกมามากกว่าปกติ มีเลือดออกมาน้อยกว่าปกติ หรือมีเลือดประจำเดือนออกมาต่อเนื่องมากกว่า 7 วัน ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเข้าข่ายของอาการประจำเดือนมาไม่ปกติทั้งสิ้น

สาเหตของอาการ “ประจำเดือนมาไม่ปกติ” เกิดจากอะไรได้บ้าง?

สำหรับสาเหตุของอาการประจำเดือนมาไม่ปกตินั้น คุณหมอระบุเอาไว้ว่ามักจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งจะแตกต่างกันไปทั้งเรื่องของความรุนแรงและการรักษา อาทิ

1. เกิดจากความเครียดของสภาพจิตใจในช่วงนั้นของผู้หญิง ซึ่งจะส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย

2. เกิดจากการที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง เช่น มีน้ำหนักมากเกินไป หรือว่าน้ำหนักลดเร็วเกินไป หรือเป็นคนที่ออกกำลังกายหักโหม ก็อาจจะส่งผลต่อประจำเดือนเช่นกัน

3. เกิดจากการที่ร่างกายขาดการพักผ่อน บางกรณีอาจมาจากการเดินทางข้ามทวีป มีการอดหลับอดนอน หรือมีอาการ “Jet lag” ก็จะส่งผลต่อประจำเดือนได้

4. เกิดกับผู้หญิงที่ทานยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนที่ได้รับจากยาเหล่านี้ก็จะมีผลต่อเรื่องประจำเดือนด้วย

5. อาจเกิดจากความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูก อาการที่มักจะพบได้บ่อย ก็คืออาการปวดท้องน้อยและมีเลือดประจำเดือนออกผิดปกติ หรือที่เรียกว่า “ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่” (Endometriosis) ซึ่งอันนี้จะเจอบ่อยที่สุด เป็นอาการเรื้อรัง และเป็นสาเหตุของการปวดท้องประจำเดือน และประจำเดือนมาไม่ปกติ

6. เกิดจากภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory disease) ซึ่งมักพบจากผู้ป่วยเพศหญิงที่มีกิจกรรมทางเพศค่อนข้างบ่อย หรือมีคู่นอนที่หลากหลาย 

7. เกิดจากความผิดปกติภายในรังไข่ อาทิ ภาวะ “ถุงน้ำหลายใบในรังไข่” (Polycystic ovary syndrome) ภาวะ “ภาวะประจำเดือนหมดเร็วกว่าปกติ” (Premature ovarian insufficiency) หรืออาจเกิดจากผลกระทบของโรคมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก 

8. สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ก็อาจเกิดอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ จากภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้เกิดการตกเลือดในช่องคลอดได้

การดูแลตัวเองเมื่อมีอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ

สำหรับสาวๆ ที่รู้ตัวว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ คุณหมอชัยได้ให้คำแนะนำเพื่อดูแลและป้องกันตัวเองเอาไว้ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

  • ต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ควรเลือกทานอาหารที่ประโยชน์ พยายามดูแลสุขภาพของน้ำหนักตัวให้ ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป ตามมวลกล้ามเนื้อและสัดส่วนของไขมันในร่างกายที่เหมาะสม
  • ต้องแน่ใจว่าเรามีการพักผ่อนที่เพียงพอ ทั้งในเรื่องของคุณภาพและปริมาณในการนอนที่เหมาะสม
  • การจัดการความเครียดและการผ่อนคลายจิตใจที่ดี
  • ควรหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ตอนมีประจำเดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางอวัยวะสืบพันธุ์
  • ไม่ควรออกกำลังกายนานหรือหนักเกินไป เพราะจะมีผลต่อฮอร์โมนทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ถ้ามีการใช้ยาหรืออุปกรณ์คุมกำเนิด ให้ขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป

มีอาการประจำเดือนมาไม่ปกติแบบไหน ถึงควรได้เวลาไปพบแพทย์?

หากใครที่กำลังกังวลในเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติเหล่านี้ คุณหมอชัยได้ให้คำแนะนำว่า เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็กอย่างละเอียด

  • หมั่นสังเกตว่าเลือดประจำเดือนที่ออกมา มีลักษณะเป็นลิ่มเลือดหรือไม่ หากมีให้พบแพทย์
  • หากเลือดประจำเดือนของผู้หญิงมีลักษณะตกขาว หรือมีสีและกลิ่นที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เช่นกัน
  • หากประจำเดือนออกมาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่ปกติต่อเนื่องนานกว่า 7 วัน หรือมีเลือดออกกระปริบกระปรอย มีอาการปวดท้องน้อยและมีไข้ร่วมด้วย ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียด เพื่อทำการคัดกรองความเสี่ยงทันที

จะเห็นได้ว่าแม้ว่าความเร่งด่วนและความรุนแรงของอาการนั้นแตกต่างกัน แต่เกือบทั้งหมดนี้เป็นอาการที่ควรต้องไปพบสูตินรีแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อตรวจสอบและป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานจนเกินไป

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อาการป่วยที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่อยากเจอ

อีกหนึ่งอาการป่วยที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเจอ และมักจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานได้มาก

นั่นก็คือ “โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ” เนื่องจากโดยสรีระร่างกายแล้ว ท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะมีลักษณะต่อตรงจากกระเพาะปัสสาวะมายังอวัยวะเพศเลย ทำให้ท่อปัสสาวะความสั้นกว่าของผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่ามาก

นอกจากในเรื่องความเสี่ยงด้านสรีระแล้ว สาเหตุในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อาจเกิดขึ้นได้จากอีกหลายอย่าง อาทิ

  • เป็นคนที่มีระบบทางเดินปัสสาวะผิดปกติโดยกำเนิด
  • เป็นคนไข้ที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะตลอดเวลา
  • เป็นคนไข้ที่พึ่งจะทำการผ่าตัดหรือส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ
  • ถ้าผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย จะมีโอกาสที่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมากกว่าปกติ
  • เป็นผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เยื่อบุบริการอวัยวะเพศจะมีความแห้ง กระด้าง และมีสารคัดหลั่งน้อย ก็จะมีโอกาสทำให้ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อได้มากกว่าปกติ

คุณหมอได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า อาการของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะนี้จะมีการแบ่งเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ

  1. ติดเชื้อในระดับทางเดินปัสสาวะ (Urethritis)  หรือท่อทางเดินปัสสาวะ มักจะมีอาการปวดแสบบริเวณทางเดินปัสสาวะ พูดง่ายๆ ก็คือทุกครั้งที่ปัสสาวะจะมีอาการแสบ หรือมีสารคัดหลั่งปนออกมาด้วยแม้ว่าเรายังไม่ได้เข้าห้องน้ำ โดยสังเกตจากการที่กางเกงในเลอะของเหลวที่มีลักษณะคล้ายหนอง เป็นต้น
  2. ติดเชื้อในระดับกระเพาะปัสสาวะ (Cystitis) มักจะมีอาการปวดท้องน้อยส่วนกลาง หรือมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแล้วมีเลือดปน หรือปัสสาวะแล้วเจ็บ เป็นต้น
  3. ติดเชื้อระดับไต (Acute pyelonephritis) มักจะมีอาการปวดย้อนขึ้นไปถึงบริเวณด้านหลังและสีข้าง ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ หนาวสั่น และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

จะใช้วิธีไหน ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้หญิงมีอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ?

เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ คุณหมอชัยได้ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวสำหรับผู้หญิงทุกคนเอาไว้ ดังนี้

  • แนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะการดื่มน้ำทำให้ปัสสาวะใสขึ้น เชื้อโรคในทางเดินปัสสาวะก็จะน้อยลง
  • มีข้อมูลระบุว่าการดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ ช่วยลดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ในระดับหนึ่ง
  • ให้ใช้วิธีการเช็ดทำความสะอาดหลังปัสสาวะของผู้หญิง โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เนื่องจากการเช็ดจากด้านรูทวารมาด้านหน้ามีโอกาสพาเชื้อโรคมาติดที่ทางเดินปัสสาวะได้
  • หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ดื่มน้ำทันทีอย่างน้อย 2 แก้ว และปัสสาวะทันที จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้
  • ไม่แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองอวัยวะเพศ 
  • ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่ใส่อุปกรณ์คุมกำเนิด (Diaphragm) หรือใช้สารฆ่าเชื้ออสุจิอยู่ แนะนำให้เลิกใช้ และให้พบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการคุมกำเนิดที่ไม่เสี่ยงแทน

📌 พิเศษ! หากคุณเป็นลูกค้าประกันสุขภาพของซันเดย์ เมื่อเกิดความกังวลเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีปัญหาเรื่องทางเดินปัสสาวะขึ้นมา คุณสามารถขอนัดหมายเพื่อพูดคุยกับสูตินรีแพทย์ผ่านทางบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) ของซันเดย์ได้ง่ายๆ ผ่านซูเปอร์แอปฯ Sunday Service ที่สำคัญก็คือ ไม่จำเป็นต้องชำระค่าใช้จ่ายใดๆ หากคุณมีความคุ้มครองผู้ป่วยนอก (OPD) ตามเงื่อนไขที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์
คลิกซื้อประกันสุขภาพซันเดย์ เพื่อความสบายใจให้กับผู้หญิงทุกคนได้ ที่นี่

Share this article
Shareable URL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ฝุ่น PM 2.5 กลับมาทุกหน้าหนาว จะมีวิธีป้องกันดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัวอย่างไร?

ฝุ่น PM 2.5 คือ อนุภาคขนาดจิ๋วที่อันตรายกว่าแค่ฝุ่นละอองทั่วไป เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร…
ฝุ่น pm 2.5

3 โรคหน้าฝนสุดอันตราย อาการหนักถ้าไม่รีบรักษา

เมื่อพูดถึงหน้าฝน นอกจากบรรยากาศชื้นแสนอึดอัด การจราจรติดขัดหนัก และความเสี่ยงน้ำท่วมสูงแล้ว “โรคหน้าฝน”…
3 อันดับโรคหน้าฝน
0
Share