โรค RSV คืออะไร สังเกตอาการได้อย่างไรบ้าง?
ในช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ อย่างช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่เด็กเล็กมักจะเกิดอาการเป็นหวัดได้ง่ายกว่าปกติ หนึ่งในไวรัสที่น่ากลัวและควรระวังเป็นอย่างมากคือไวรัส RSV ที่ส่งผลทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ หากปล่อยทิ้งไว้นานก็อาจจะอันตรายถึงชีวิต คุณพ่อ คุณแม่ต้องคอยเฝ้าระวังและสังเกตอาการลูกน้อยอย่างใกล้ชิด ไปดูกันเลยว่าไวรัส RSV นี้คืออะไรและรักษาได้อย่างไรบ้าง
โรค RSV คืออะไร?
ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยส่งผลต่อทั้งระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น บริเวณคอหอย จมูก คอ รวมถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น กล่องเสียง หลอดลมใหญ่และปอด
ไวรัสประเภทนี้สามารถติดต่อได้ทุกเพศและทุกวัย แต่จะพบมากในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป โดยสามารถทำให้เกิดได้ทั้งโรคหวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่มีความรุนแรง เช่น โรคปอดอักแสบและโรคหลอดลมอักเสบ ส่วนมากร่างกายจะได้รับไวรัสชนิดนี้ได้ง่ายเมื่อมีภูมิต้านทานที่ลดลง
อัตราการป่วยของโรค RSV ในประเทศไทย
จากการเก็บข้อมูลในประเทศไทย อ้างอิงตามคลังข้อมูลสุขภาพ Health Data Center (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปีพ.ศ. 2566 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส RSV จำนวน 24,382 ราย และพบว่ามีการายงานการเสียชีวิตทั้งหมด 4 รายด้วยกัน โดยอัตราการป่วยสูงที่สุดเป็นช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม ที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ติดไวรัส RSV มีอาการเริ่มแรกเป็นอย่างไร?
ในขณะที่หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าลูกหรือผู้สูงอายุในบ้านมีอาการของโรคไข้หวัดธรรมดา ซันเดย์อยากให้ลองตรวจสอบดูด้วยว่ามีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วยหรือไม่ เพราะนี่อาจจะเป็นข้อบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัส RSV อาการที่ควรสังเกตได้แก่
- ไอเยอะ มีน้ำมูกไหล
- มีไข้
- มีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย
- มีเสียงหายใจหวีด
- รับประทานอาหารหรือนมได้น้อยลง
- ในเด็กอาจจะพบว่ามีอาการร้องบ่อยขึ้น และซึมลงกว่าเคย
RSV มีวิธีป้องกันและลดการติดเชื้อได้
ถึงแม้ว่าไวรัสชนิดนี้จะดูมีความอันตราย แต่เราสามารถช่วยกันลดการแพร่กระจายและการติดต่อได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่อาจจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ง่ายในสถานที่เลี้ยงเด็กหรือโรงเรียน ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาให้ข้อมูลว่าสามารถส่งเสริมสุขลักำษณะเหล่านี้เพื่อลดการแพร่กระชายของเชื้อได้
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่บ่อย ๆ
- ทำความสะอาดของใช้และของเล่น
- ไม่ให้เด็กใช้ของร่วมกับผู้อื่น
- คัดแยกเด็กที่มีอาการป่วย
- คัดกรองอาการของเด็ก ๆ ทุกเช้า
สำหรับครอบครัวเองก็สามารถนำข้อแนะนำเหล่านี้ไปใช้กับที่บ้านได้เช่นกัน โดยรวมถึงการไม่นำเด็กไปยังที่ที่มีผู้คนแออัด ไม่เข้าใกล้ผู้ป่วยคนอื่น ๆ และทำความสะอาดของใช้ ของเล่นที่บ้านเป็นประจำ เพราะเชื้อไวรัส RSV นี้สามารถอยู่บนพื้นผิวได้นานอย่างน้อย 30 นาที หากไม่มีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง
การรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV
ต้องบอกว่าในปัจจุบันนี้ไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสประเภทนี้และไม่มียารักษาโดยตรง เมื่อมีอาการป่วยแล้ว ปกติก็จะหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยแพทย์จะจ่ายยาให้ตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาลดอาการไอและยาลดน้ำมูก แต่ถ้าหากมีอาการยาวนานกว่านั้น ทางทีมแพทย์ก็จะทำการวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อเฝ้าระวังอาการหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดอักเสบหรือหลอดลมอักเสบ และอาจมีการใช้ที่ตรวจ RSV ในการตรวจหาเชื้อไวรัสเพิ่มเติม เพื่อคัดกรองผู้ป่วย และลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ
ลูกป่วยหนักแล้วเป็นกังวล มองหาตัวช่วยเอาไว้ก็ดีนะ
เห็นลูกป่วยทีไร ใจคนเป็นพ่อเป็นแม่เจ็บปวดไม่แพ้กัน อยากจะป่วยแทนลูกเหลือเกิน ซันเดย์เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่มาก ๆ เมื่อลูกป่วยแล้วการดูแลลูกรักให้หายจากอาการป่วยได้เร็วและไม่มีอาการแทรกซ้อน คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องการมากที่สุด รวมถึงการได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ที่รวดเร็ว ซึ่งถ้ามีประกันสุขภาพเด็กให้ลูก ก็จะสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แถมยังไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องค่ารักษา เพราะมีประกันที่คอยดูแลและช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง