“BYD” หรือ “Build Your Dream” เป็นอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสมรรถนะการขับขี่ ราคาค่าตัว ทั้งยังมีรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นให้เลือกพิจารณาให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้งาน
อย่างไรก็ดี หากใครอยากซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD ให้ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงจุด ลองมาดู 4 เรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนซื้อ BYD คันแรกเป็นของตัวเองกัน สรุปให้เข้าใจง่ายๆ แบบครบจบในที่เดียวมาให้แล้ว
เลือกอ่านประเด็นที่สนใจ
สรุปให้! 4 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD
1. รถยนต์ไฟฟ้า BYD มาจากไหน?
เมื่อวางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน หลายๆ คนมักเริ่มต้นจากการพิจารณาความน่าเชื่อถือของแบรนด์รถยนต์ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในประสิทธิภาพของรถยนต์แล้ว ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ยังสะท้อนให้เห็นถึงระบบการจัดการที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของการซ่อมบำรุงและดูแลรักษาในระยะยาว
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD แล้ว ต้นกำเนิดของค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่นี้มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน ก่อตั้งโดยคุณ Wang Chuanfu ในอดีตรู้จักกันในนาม BYD Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็น BYD Auto ในปีค.ศ. 2008 และสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า PHEV คันแรกของโลกได้สำเร็จ
หลังจากผลิตรถยนต์ไฟฟ้า PHEV ได้สำเร็จ นักลงทุนชื่อดังของโลกอย่าง Warren Buffett ก็ได้เข้ามาร่วมลงทุนด้วยมูลค่าสูงถึง 6,920 ล้านบาท ซึ่งหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนในปัจจุบัน เม็ดเงินของ Warren Buffett ที่ลงทุนไปนี้มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 3,200% ในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ยืนยันความสำเร็จของ BYD Auto ได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่า BYD Auto ตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้งตอนจบไตรมาสที่ 4 ของปีค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา จากการขึ้นแท่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมอันดับ 1 ของโลก ซึ่งวัดจากตัวเลขส่งมอบรถยนต์ใหม่ที่เหนือกว่าคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Tesla
สำหรับผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD ในประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ BYD RÊVER Thailand เป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว (Thailand Authorized Distributor)
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ BYD Auto ได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน พร้อมเตรียมส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า BYD คันที่ 8 ล้านของบริษัท
การเปิดโรงงานดังกล่าวนี้ อาจส่งผลกระทบต่อราคาขาย รวมถึงค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงและดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์นี้ในอนาคต ดังนั้น หากใครกำลังวางแผนซื้อ BYD รุ่นไหนอยู่ อย่าลืมติดตามข่าวสารอัปเดตจากทาง BYD Auto ให้ดี
2. รถยนต์ไฟฟ้า BYD มีกี่รุ่น?
รู้หรือไม่? รถยนต์ไฟฟ้า BYD ไม่ได้มีแค่รุ่น ATTO 3, Dolphin และ Seal เหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่มีด้วยกันมากถึง 11 รุ่นเลยทีเดียว โดยทั้ง 11 รุ่นจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. BYD ATTO 3
รถยนต์ไฟฟ้า BYD ATTO 3 โดดเด่นด้วยขุมพลังสูงสุด 204 แรงม้า พร้อมตัวถังยาวกว่า 4,455 มิลลิเมตร และ ความกว้างถึง 1,875 มิลลิเมตร ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานในชีวิตประจำวัน การเดินทางไกล ไปจนถึงการใช้งานเป็นรถยนต์ประจำครอบครัว
รถยนต์ไฟฟ้า BYD ATTO 3 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะมีด้วยกัน 2 รุ่นหลัก คือ
- Standard Range มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 49.9 kWh วิ่งได้ไกลสุด 410 กิโลเมตร
- Extended Range มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 60.48 kWh วิ่งได้ไกลสุด 480 กิโลเมตร
2. BYD Dolphin
BYD Dolphin เป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้า B-Segment ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด ด้วยขนาดตัวรถยาว 4,150 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,770 มิลลิเมตร ทั้งยังมาพร้อมกับสีสันให้เลือกหลากหลาย ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin ตอบโจทย์ได้ทั้งไลฟ์สไตล์และการใช้งานของผู้ขับขี่
ในปัจจุบันนี้ BYD Dolphin ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ประกอบไปด้วย
- Standard Range มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 44.9 kWh วิ่งได้ไกล 410 กิโลเมตร
- Extended Range มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 60.48 kWh วิ่งได้ไกลกว่า 490 กิโลเมตร
3. BYD Seal
มาสู่สนามรถยนต์ไฟฟ้า D-Segment ที่ Tesla Model 3 ครองตลาดอยู่กันบ้าง แน่นอนว่าทาง BYD ก็พร้อมท้าชนคู่แข่งคนสำคัญด้วย BYD Seal ที่เหนือกว่าทั้งขนาดรถยนต์ ออฟชันเสริม รวมถึงสมรรถนะรถยนต์
ในปัจจุบันนี้ รถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 รุ่นหลัก ซึ่งจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้
- Dynamic RWD พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แบตเตอรี่ความจุ 61.44 kWh ขับขี่ได้ไกล 510 กิโลเมตร
- Premium RWD พละกำลังสูงสุด 313 แรงม้า แบตเตอรี่ความจุ 82.56 kWh ขับขี่ได้ไกล 650 กิโลเมตร
- AWD Performance พละกำลังสูงสุด 218 แรงม้า แบตเตอรี่ความจุ 82.56 kWh ขับขี่ได้ไกล 580 กิโลเมตร
บทความน่าอ่าน > อัปเดตครบ BYD Seal 2024 มีกี่รุ่น ราคาเท่าไหร่ ซื้อรุ่นไหนดี?
4. BYD e6
BYD e6 โดดเด่นด้วยดีไซน์ทรง Station Wagon มาพร้อมพื้นที่ภายในรถยนต์กว่า 580 ลิตร ตอบโจทย์สำหรับการเป็นรถยนต์ครอบครัวและผู้ขับขี่ที่กำลังมองหารถยนต์ที่เน้นการใช้งานอย่างแท้จริง
ในแง่สมรรถนะการขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า BYD e6 มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Brake Override System (BOS) พร้อมพละกำลังสูงสุด 93.8 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาดความจุ 71.7 kWh ทำให้วิ่งได้ไกลสูงถึง 520 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
BYD รุ่น e6 เพิ่งเปิดตัวล่าสุดในเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีราคาขายในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 1,135,900 บาท
5. BYD T3
รถยนต์ไฟฟ้า BYD T3 เป็นรถตู้ทึบไฟฟ้า ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ หรือ เป็นรถยนต์สำหรับขนส่งโดยเฉพาะ โดดเด่นด้วยขนาดตัวรถยาว 4,460 มิลลิเมตร และ กว้าง 1,720 มิลลิเมตร ทั้งยังมีระบบช่วงล่างที่รองรับน้ำหนักได้สูงกว่า 700 กิโลกรัม
ที่สำคัญ ตัวรถยนต์ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุขนาด 44.9 kWh ชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC Fast Charging ใช้เวลาเพียง 1.3 ชั่วโมง และ สามารถวิ่งได้ไกลถึง 233 กิโลเมตร เรียกได้ว่าตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมมากที่สุดรุ่นหนึ่ง หากเทียบกับราคาวางจำหน่ายในไทยที่เริ่มเพียง 990,000 บาทแล้ว นับว่ายิ่งคุ้มค่ามาก
6. BYD Tang
BYD Tang เป็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม SUV และยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid ที่มียอดขายสูงสุดในประเทศจีนเมื่อปีค.ศ. 2006 ที่ผ่านมา
สำหรับ BYD Tang รุ่นใหม่ปีค.ศ. 2013 นี้ มีการปรับสมรรถนะให้สามารถวิ่งได้ไกล 730 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียง 1 ครั้ง แม้จะยังไม่มีการเปิดวางจำหน่าย แต่หากนำเข้ามาขายเมื่อไหร่ BYD Tang ก็จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งได้ระยะทางสูงสุดในไทยทันที
7. BYD Han
BYD Han คือ รถยนต์ไฟฟ้าประเภท E-Segment หรือ Full-size / Executive Sedan ออกแบบมาเพื่อเป็นรถยนต์สำหรับผู้บริหารอย่างแท้จริง โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหรา พร้อมพละกำลังสูงถึง 478 แรงม้าเทียบเท่ากับรถสปอร์ตหลายแบรนด์หรู ทั้งยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุขนาด 76.9 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 550 กิโลเมตรจากการชาร์จเต็มเพียง 1 ครั้ง
รถยนต์ไฟฟ้า BYD Han เปิดวางจำหน่ายแล้วที่ประเทศจีน พร้อมเปิดประกาศขายล่วงหน้าที่ประเทศเยอรมนีด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้น 72,000 ยูโร หรือ เงินเป็นเงินไทยอยู่ที่ราวๆ 2,667,000 บาท
8. BYD Qin PLUS DMi
BYD Qin PLUS DMi เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภท Plug-in Hybrid Crossover เครื่องยนต์เทียบเท่ากับ BYD Han ด้วยขุมพลังสูงสุด 170 แรงม้า ทั้งยังสามารถวิ่งได้ไกลสูงถึง 1,245 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม โดยในปัจจุบันนี้ BYD Qin PLUS DMi มีราคาวางจำหน่ายที่ประเทศจีนอยู่ที่ 99,800 – 145,800 หยวน หรือ คิดเป็นเงินไทย 499,000 – 729,000 บาท
9. BYD Denza D9
สำหรับใครที่กำลังตามหารถตู้สำหรับครอบครัวอยู่ เชื่อเลยว่า BYD Denza D9 ต้องเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ตอบโจทย์ โดดเด่นด้วยพละกำลังสูงสุด 230 แรงม้า พร้อมระยะทางวิ่งได้ไกลสูงสุด 600 กิโลเมตร อีกทั้งภายในยังตกแต่งอย่างหรูหราภายใต้แนวความคิด Into the Meteor Arrow ส่งผลให้ BYD Denza D9 เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า BYD ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเช่นกัน โดยในปัจจุบันนี้ BYD Denza D9 ยังไม่มีกำหนดที่จะเข้าไทย
10. BYD Seagull
BYD Seagull เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภท A-Segment จากหนึ่งในซีรีส์ Ocean เช่นเดียวกับ BYD Dolphin และ BYD Seal แม้จะยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายในไทย แต่ BYD Seagull กลับสร้างยอดขายสูงกว่า 100,000+ คันในประเทศจีนนับตั้งแต่เปิดตัว ซึ่งหากนำเข้ามาในไทยเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ Neta ทันที
11. BYD M3
BYD M3 เป็นรถตู้ไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นจาก BYD ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัวใหญ่ แม้จะมีพละกำลังสูงสุดเพียง 90 แรงม้า แต่ด้วยขนาดแบตเตอรี่ที่สูงกว่า 50.3 kWh และ วิ่งได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร หากนำเข้ามาวางจำหน่ายในไทยเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่า BYD M3 อาจเป็นรถตู้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดอีกรุ่นหนึ่งก็เป็นได้
3. ค่าใช้จ่ายในการดูแลและซ่อมบำรุง BYD
ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง BYD อาจแตกต่างกันไปตามความเสียหาย ประเภทอะไหล่ รวมถึงความยากง่ายในการซ่อมบำรุงตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า BYD แต่ละรุ่นยังมีรายละเอียดในการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไปด้วย
เพื่อช่วยให้วางแผนค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาได้ตรงจุดมากที่สุด ผู้ที่สนใจซื้อ BYD จึงควรศึกษารายละเอียดและตารางการดูแลรักษา BYD แต่ละรุ่น พร้อมติดตามราคาอะไหล่ และการซ่อมบำรุงของศูนย์รถยนต์ไฟฟ้า BYD ที่สนใจเอาไว้เสมอ
ในทางเดียวกัน การดูแลรักษาตามมาตรฐาน BYD ยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการเช็กระยะ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าแรง ค่าเซอร์วิส รวมถึงค่าอะไหล่ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนโดยส่วนมากแล้ว ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า BYD จะประกอบไปด้วย
- ค่าสลับยางถ่วงล้อ
- ค่าเปลี่ยนกรองแอร์
- ค่าเปลี่ยนของเหลว เช่น น้ำมันชุดเกียร์ในมอเตอร์ น้ำยาหล่อเย็นมอเตอร์ น้ำยาหม้อน้ำ และ น้ำมันเบรก
- ค่าอะไหล่ชิ้นอื่นๆ ที่จำเป็นต้องเปลี่ยน
อย่างไรก็ดี ข้อควรรู้อีกอย่างหนึ่งของการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า BYD คือ หากเกิดอุบัติเหตุ หรือ จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าอย่าง แบตเตอรี่ หรือ มอเตอร์ไฟฟ้า เจ้าของรถยนต์ BYD จะต้องเผื่อเวลาเพื่อรออะไหล่ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้เนื่องจากศูนย์บริการบางแห่งอาจไม่ได้มีการสต๊อกอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าเอาไว้ หรือ มีสต๊อกจำนวนที่น้อยมาก จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการสั่งและจัดส่ง ทั้งยังต้องรอเวลาเพื่อนำอะไหล่มาติดตั้งในรถยนต์ของเราด้วย ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนอะไหล่ประเภทนี้ อย่าลืมเผื่อเวลาการซ่อมบำรุงเอาไว้ให้ดี
4. ประกันรถยนต์ไฟฟ้า BYD
นอกจากจะเตรียมวางแผนการเงินสำหรับซื้อ บำรุงรักษา และซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า BYD แล้ว “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” เองก็เป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายสำคัญที่ต้องวางแผนให้รอบคอบเช่นกัน
ประกันรถยนต์ไฟฟ้า BYD จะให้ความคุ้มครองเทียบเท่ากับประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่จะมีความเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาด้วย อย่างไรก็ดี เบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้า BYD จะขึ้นอยู่กับทุนประกันรถยนต์ วงเงินความคุ้มครองสูงสุด ไปจนถึงความคุ้มครองอื่นๆ ที่ต้องการซื้อเพิ่ม เช่น ความคุ้มครองแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับลูกค้าซันเดย์ที่ต้องการวางแผนค่าใช้จ่ายด้านประกันรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ สามารถกรอกวันเดือนปีเกิด ที่อยู่ปัจจุบัน และข้อมูลติดต่อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่แนะนำประกันรถยนต์ไฟฟ้า BYD ที่เหมาะสมให้ หรือ สามารถสอบถามไปยังศูนย์ให้บริการ BYD ใกล้บ้านได้ทุกสาขา
ขอบคุณข้อมูล: Thairath
อยากใช้ซูเปอร์แอปฯ Jolly by Sunday ต้องทำอย่างไร?
หากคุณเป็นอีกคนที่อยากใช้ซูเปอร์แอปฯ Jolly by Sunday แอปประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการทุกอย่างได้ครอบคลุมแบบนี้ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาใช้งานได้ในทันที ผ่าน App Store หรือ Google Play Store แล้วอย่าลืมติดตามข่าวสารและโปรโมชันดีๆ จากซันเดย์ในทุกๆ วันของคุณ